วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

ในสัปดาห์นี้ดูเหมือนว่างานของเราไม่ค่อยคืบหน้าสักเท่าไร อาจเป็นเพราะเวลาที่จะได้ทำงานในชั่วโมงน้อยลงไปจากการแลกคาบ และอาจเป็นเพราะเรามีปัญหาเรื่องถังที่ว่าถังหมักเก่าไม่สามารถใช้ได้เพราะถูกสนิมขึ้นจนผุ เราจึงต้องทำถังใหม่ การทำถังใหม่นั้นตอนแรกเราก็คิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไร แค่เขียนแบบถังไปให้พี่ก้องก็พอ แต่ในความเป็นจริงนั้น แบบถังก็ต้องปรับหลายครั้ง และเรายังต้องไปหาซื้ออุปกรณ์มาเอง ไม่ว่าจะเป็นถัง ท่อ PVC หรือเหล็ก ซึ่งในการหาซื้อนั้นเราก็ต้องเสียเวลาไปเกือบอาทิตย์ เพราะเกิดปัญหามากมายเช่นร้ายปิดบ้าง หาซื้อไม่ได้บ้าง ทำให้เสียเวลาในการทำงานไปค่อนข้างมาก นอกจากถังแล้ว อีกอย่างที่พวกเราได้ทำก็คือ Bio-ethanol ซึ่งก็ค่อนข้างล่าช้าเช่นกัน

วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

[$a$kia] ThIrD $teP *

สัปดาห์ที่สามเป็นสัปดาห์ของการทำงานที่รู้สึกว่างานเริ่มจะเป็นไปได้ช้าลงจึงทำให้งานที่คืบหน้าในแต่ละวันดูจะไม่ค่อยดีซักเท่าไรนัก เนื่องจากว่า เราไม่สามารถทำอุปกรณ์ หรือทำถังเองได้ จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ใหม่ในบางส่วน โดยเราแบ่งงานกันว่า มี 3 คนไปทำเรื่องถังไบโอก๊าซและอีก 2 คนทำเรื่องไบโอเอธานอล แต่ไปๆมาๆถังไบโอก๊าซซึ่งไม่สามารถทำอะไรได้ในระหว่างที่รอตัวถังรวมถึงอุปกรณ์นั้นก็ต้องมาช่วยกันทำไบโอเอธานอลกันหมด ทำให้คนล้นงาน จนดูเหมือนนั่งว่างๆไปนิดเลยทีเดียว

สิ่งที่ได้เรียนรู้ในสัปดาห์นี้คงเป็นการที่ต้องใช้เวลาให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์มากที่สุดโดยที่จะไม่สามารถละเลยความรับผิดชอบเลยได้แม้แต่วันเดียวเพราะนั่นหมายถึงความล่าช้าในการทำงานที่ดูจะถอยหลังไม่ตรงตามาแผนไปเรื่อยๆเสียแล้ว เพราะทุกวันก็ต้องแบ่งกันไปหาอุปกรณ์ และถ้าหากลืมก็จะทำให้การทำถังช้าไปอีกนั่นหมายถึงเราจะมีเวลาน้อยลงในการทำก๊าซชีวภาพซึ่งต้องใช้เวลานานในการหมักครั้งแรก..
แล้วเราก็ลืมคิด จำไม่ได้ รวมทั้งคิดไม่ถึงไปหลายวันเสียด้วย ทำให้แผนการดำเนินงานที่วางไว้รวมเสียหมด..

วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

week 2

อาทิตย์นี้ได้ไปหาข้อมูลการทำเอทานอลที่กรมวิทยาศาสตร์ด้วยแต่ข้อมูลที่หาได้นั้นเป็นภาษาอังกฤษ หน้าที่การอ่านจึงตกเป็นของเพื่อนๆไป ต่อมาพวกเราได้ล้างถังไบโอแก๊สแต่พอเปิดฝามาดูมันกลับเป็นสนิมเราจึงได้ตัดสินใจว่าจะทำถังใหม่ อุปกรณ์ที่ต้องการคือ 1. ถังพลาสติกขนาด 200 ลิตร 2. ท่อแป๊ป 1½ นิ้ว 3. นอตเบอร์ 10 สะแตนเหลด 5 ตัว 4. ยางปะเค็น 5.สายยาง และ ฯลฯ
ความรู้ที่ได้ในอาทิตย์นี้คือการ ทำ ไบโอเอทานอล อย่างง่าย 1. สับและต้มเพื่อแยกเอา lignin ออก 2. ใส่กรดลงไปสลายพันธะ ให้เป็น ซูโคลส 3.หมักกับยีสต์ทำให้เป็นเอททานอล 4.แยกเอาเอททานอลบริสุทิ์โดยการกลั่นลำดับส่วน

KNOWLEDGE WEEK 2............????

ในสัปดาห์นี้ เราเริ่มทำงานในภาคปฏิบัติกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการจัดการกับถังหมัก ซึ่งพวกเราล้างจนเสร็จทั้งหมด โดยเราพบว่าปัญญาหาที่เกิดขึ้นคือ ถังหมักที่เป็นเหล็กนั้นจะขึ้นสนิมและถูกัดกร่อนจนผุ ทำให้เราจำเป็นจะต้องทำถังใหม่เป็นพลาสติกหรือไฟเบอร์กลาส ส่วนทางด้าน Bio-ethanol นั้น ในสัปดาห์นี้เราได้ไปที่กรมวิทยาศาสตร์บริการเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ละเอียดมากยิ่งขึ้น ซึ่งการไปหาข้อมูลในครั้งนี้ทำให้เราได้เรียนรู้ที่จะทำความเข้าใจกับเนื้อหา แล้วหยิบเอาส่วนสำคัญของข้อมูลแต่ละชุดมารวมกัน จนได้เป็นชุดข้อมูลใหม่ของเราเอง จากนั้นเราก็ได้เริ่มเก็บใบไม้และลองทำ Bio-ethanol จริงเป็นครั้งแรก
จากการทำงานทั้งหมดในสัปดาห์นี้ ทำให้ได้เรียนรู้ว่า การลงมือปฏิบัติจริงจะทำให้เราได้เรียนรู้อย่างดีที่สุด ในตอนแรก พวกเราคิดว่าจะหาข้อมูลให้ได้มากที่สุดและละเอียดที่สุด เพื่อจะได้ลงมือทำได้รวดเร็ว แต่ในที่สุด การจะหาข้อมูลที่ครบถ้วนสมบูรณ์และบอกขั้นตอนในการทำทุกอย่างนั้น ก็เป็นไปไม่ได้ การที่จะรู้วิธีการทำอย่างละเอียดได้นั้น มีอยู่ทางเดียวคือลงมือทำ การลงมือทำจริงจะช่วยตอบปัญหาที่เราเคยไม่รู้ได้ เพราะการลงมือทำนั้นหมายความว่าเราจะต้องทดลอง ถ้าไม่ลงมือทำ ก็จะไม่รู้ว่าสิ่งที่เราคิดว่าใช่นั้นถูกต้องจริงหรือไม่ ถ้าไม่ลงมือทำก็จะไม่รู้ว่าจริงๆแล้วต้องทำอย่างไรแน่ ถ้าไม่ลงมือทำ ก็จะไม่รู้ว่าข้อผิดพลาดและอุปสรรคอยู่ตรงไหน ถ้าไม่ลงมือทำ ก็ยังไม่รู้จริง

ณิชาลักษณ์ เลิศประพันธ์

สรุปการเรียนรู้Week2*~

สัปดาห์ที่สองนี้สิ่งที่เราต้องพบเจอ คือผลกรรมของงานที่ไม่เสร็จตามแผน เราจำเป็นต้องทำงานจนเย็นค่ำแทบทุกวัน เพราะงานล้างถังนั้นมีข้อจำกัดคือไม่สามารถทำได้ในเวลาช่วงเช้าเพราะอาจทำให้อาหารเป็นพิษได้ หรืออาจทำให้เรากินข้าวไม่ลงจนเสียสุขภาพในที่สุด เราจึงเริ่มดำเนินงานเรื่องเอทานอลไปพร้อมๆกันโดยจะทำงานเอทานอลหรือการออกแบบถังหมักในช่วงเช้าและทำงานล้างถังหมักในต้องภาคบ่ายหรือหลังเลิกเรียน

เนื่องจากงานเรื่องเอทานอลข้อมูลบางส่วนยังไม่ครบและหาได้ยากมากเราจึงไปสืบค้นข้อมูลที่กรมวิทยาศาสตร์บริการ ข้อมูลต่างๆที่เราได้จากที่นั้นล้วนเป็นภาษาอังกฤษทั้งนั้น และด้วยความที่เราไม่ได้นำพจนานุกรมเข้าไปด้วยจึงพบกับปัญหาการการอ่าน “ทำให้เราเห็นความสำคัญของการรู้ข้อมูลของสิ่งนั้นๆเสียก่อน เพื่อที่จะสามารถเตรียมตัวให้พร้อมและเหมาะสมกับสถานที่นั้นได้” แต่สุดท้ายพวกเราก็สามารถได้วิธีการมาในที่สุด แม้จะปวดหัวตาลายกับภาษาอังกฤษเป็นที่สุด ทั้งยังได้เริ่มการทำไบโอเอทานอลแล้วอีกด้วย

ทั้งด้วยความร่วมมือ ความพยายามของพวกเรา และความทุ่มเททำงานแทบทุกวันถังหมักจึงเสร็จ และการล้างถังหมักใบที่สองทำให้เราพบว่ามีวิธีการกำจัดน้ำในถังที่ง่ายมากอยู่หากเราสังเกตสิ่งแวดล้อมดีๆ “เราจึงคิดว่าการสังเกตนั้นสำคัญมาก” และยังได้ขอคิดเรื่อง“ความมีสติในทุกๆสถานการณ์” จากเหตุการณ์นำหมักพุ่ง หากไม่มีสติและไม่มีโชคคงได้เลอะแน่นอนและเพราะโชคดีไม่ได้อยู่กับเราตลอด สติจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ทั้งเรายังได้ออกแบบถังหมักใหม่อีกด้วย แถมหลังจากที่ล้างถังเสร็จเราพบว่าถังนั้นถูกสนิมกัดกร่อนไปมากแล้ว แถมเรายังได้ถามผู้เชี่ยวชาญจงพบว่า ถังหมักควรจะทำจากพลาสติก เพื่อไม่ให้เกิดการกัดกร่อน จะได้ใช้ได้นานๆ เราจึงต้องทำถังหมักใหม่อีกครั้ง จากการที่เราได้ไปปรึกษาพี่ก้องทำให้เราได้แง่คิดอีกว่า“การรอคอยอย่างเดียวโดยไม่ทำช่วยเหลือหรือหาโอกาสให้เอง นั้นไม่ทำให้สิ่งที่เราต้องการเกิดขึ้นได้” หลังจากที่เราเสียเวลาไปกับการที่พี่ก้องหายไปเพราะพี่ก้องต้องช่วยดูงานของหลายๆกลุ่ม จนในสุดเราจึงเริ่มออกตามหาพี่ก้อง และงานของเราจึงได้เริ่มเดินหน้าขึ้นจากที่หยุดไปสักพัก เสียเวลาทำงานไปกับการนั่งรอ เล่นกับมดกับดินทราย

ทั้งพวกเรายังได้ฝึกการทำงานโดยพึงพาผู้อื่น ทั้งป้าเปรี้ยว และพี่ก้อง พวกเราเองต้องขอขอบคุณในความช่วยเหลือเป็นอย่างมาก

วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

[$a$kia] $econd $teP *

สัปดาห์ที่สอง.. เป็นสัปดาห์ที่หนักไปทางด้านปฏิบัติเสียมากกว่า ตั้งแต่เริ่มสัปดาห์มาคือในวันอาทิตย์ ก็ได้ล้างถังหมักก๊าซชีวภาพเป็นอย่างแรก แค่สภาพถังและรอบข้างถังก็ไม่อยากทำเสียแล้ว สภาพในถังยิ่งแล้วใหญ่ ปฏิกิริยาของเพื่อนๆก็ดูคล้ายกันคือ.. ขยะแขยง.. แต่แล้วเมื่อคิดไปคิดมา อย่างไรก็ต้องทำ ก็เลยพากันคิดว่า ทำช้าทำเร็วยังไงก็ต้องทำเพราะฉะนั้นก็ทำๆไปเถอะ จึงพร้อมใจกันลงมือทำ ช่วงแรกๆก็ยังเหลือความขยะแขยงไว้.. หลังๆก็เริ่มปลง ล้างหน่อยก็ช่างมันเถอะ .. ถังที่สองก็ยังคงคล้ายถังแรก แต่สะดวกกว่าหน่อยและทำใจได้เร็วกว่าหน่อย แล้วก็เสร็จเร็วหน่อย ความรู้สึกว่ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ลงตัวและดีใจที่มีเพื่อนร่วมกลุ่มอย่างนี้ยังคงอยู่ เพราะทุกคนยังคงช่วยกันทำงาน ออกความคิดเห็น ค้นคว้าและปรับปรุงข้อมูลอยู่เสมอๆ

นอกจากจะได้ลงมือภาคปฏิบัติแล้ว ยังได้มีโอกาสออกไปค้นคว้าข้อมูลการทำไบโอเอธานอลจากกรมวิทยาศาสตร์อีกด้วย เป็นการออกนอกโรงเรียนในชุดนักเรียนครั้งแรกที่ไม่มีครูคุมทำให้รู้สึกแปลกๆ เพราะปกติจะมีคนคอยชี้แนะว่าควรจะทำอย่างไร พอไปถึงก็ยังรู้สึกงงๆว่าควรจะทำอะไรก่อน สิ่งที่พบตามมาคือ ข้อมูลมีแต่ภาษาอังกฤษ เห็นแล้วก็เกิดอาการผวา.. ว่านี่จะต้องแปลแล้วเอามาทำหรือนี่ แต่เพื่อนๆก็ไม่มีอาการสะทกสะท้าน เราจึงได้แต่เก็บความผวาไว้ในใจแล้วลงมือค้นคว้าข้อมูลซึ่งมีเวลาแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น ได้ฝึกการบริหารเวลาและใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ได้ฝึกค้นคว้าหาหนังสือจากห้องสมุดด้วย สนุกไม่น้อยค่ะกับการได้ทำอะไรใหม่ๆที่ไม่เคยทำและเป็นก้าวแรก ก้าวแรกที่อาจจะไม่ได้มั่นคงและเต็มไปด้วยความมั่นใจนัก.. แต่ก็เชื่อมั่นว่า.. ก้าวต่อๆไปจะต้องมั่นคงและดูมั่นใจกว่านี้แน่นอนค่ะ

อย่างที่สามคือได้ออกแบบถังก๊าซชีวภาพใหม่ เนื่องจากได้ข้อมูลจากคุณพ่อมาว่า ถ้าใช้ถังโลหะแล้วตัวถังจะถูกกรัดกร่อนเนื่องจากเวลาที่เศษอาหารย่อยสลายจะเกิดกรดออกมา ทำให้ตัวถังถูกกรัดกร่อนและจะเกิดการรั่วซึมได้ง่าย ควรจะใช้ถังที่ทำจากพลาสติกหรือไฟเบอร์กลาสแทน และในวันหนึ่งคุณพ่อก็ได้มาดูถังหมักด้วยตัวเอง หลังจากที่เราได้แยกส่วนออกมาล้างกันเรียบร้อยแล้ว คุณพ่อดูๆอยู่พักหนึ่งแล้วก็ยังยืนยันคำเดิมว่าไม่ควรใช้ถังพลาสติก แล้วก็พาออกแบบถังใหม่ ว่าจะออกแบบอย่างไรดี ให้ดูจากถังเก่าว่าส่วนไหนที่ควรนำมาปรับ นำมาใช้ต่อ หรือแก้ไขให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นบ้าง ได้ฝึกสังเกต คิดให้รอบคอบ และจินตนาการถึงเวลาที่ใช้งานจริงว่าจะเป็นอย่างไร และที่สำคัญคือเมื่อได้ร่วมกันคิด ร่วมกันเสนอในข้อเสียต่างๆ ความรู้สึกหนึ่งก็เกิดขึ้นมาว่า.. นี่แหละ.. เป็นการทำงานที่เกิดขึ้นจากของพวกเราเองจริงๆ

----------------------- [ b¥ :: $ a $ k i a * ] ---------------------

วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

การเรียนรู้ week2***

ในอาทิตย์นี้ พวกเราก็เริ่มเจาะมาที่การทำBioethanolมากขึ้น โดยพวกเรามีโอกาสได้ออกไปหาข้อมูลกันที่ กรมวิทยาศาสตร์บริการ ตอนที่ไปนั้นเราต้องบริหารจัดการเวลากันมากๆเพราะมีเวลาแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น เเละข้อมูลส่วนใหญ่ก็เป็นภาษาอังกฤษเเทบทั้งสิ้น แต่อย่างไรก็ตามเราพบว่าข้อมูลส่วนใหญ่ก็ยังชัดเจนไม่พออยู่ดี เราจึงตัดสินใจลงมือทำไบโอเอทานอลกันเลย โดยอาศัยข้อมูลที่เรามีอยู่ก่อน

อีกเรื่องหนึ่งที่เราต้องบริหารจัดการเวลาในการทำกันก็คือเรื่องถ้งหม้ก biogas ซึ่งจะทำได้หลังบ่ายโมงไปเท่านั้น ซึ่งเราจะมีเวลาทำกันในคาบน้อยมาก ก็เลยต้องเเบ่งเวลากันมาทำในตอนเย็นหลังเลิกเรียน

ปัญหาที่เราพบในอาทิตย์นี้คือ เราพบว่าถังหมักของป้าเปรี้ยวนั้นถูกกัดกร่อนจนสนิมขึ้นไปเเล้ว เราก็เลยคิดกันว่า จะเปลี่ยนมาใช้พลาสติก แทน ซึ่งจะทำให้แผนของเราล่าช้าไปอีก ทำให้พวกเราต้องเร่งมือทำ เพื่อที่จะให้ถังเสร็จทันหมักก่อนไปภาคสนาม

การทำงานในอาทิตย์นี้ทำให้ฉันรู้สึกว่ามีวินัยการทำงานมากขึ้นเนี่องจากต้องอาศัยทักษะในการจัดการเวลา เเละ การทำงานให้ตรงกับแผนงานที่เราวางเอาไว้

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

วิธีการทำไบโอเอธานอล (ในรายงาน)

วิธิการทำไบโอเอธานอล

การเตรียม : ใช้การบดหรือหั่นให้มีขนาดเล็กลง และต้มเพื่อแยกเอา lignin ออก

Hydrolyse ด้วยกรดเจือจาง : ใส่ซัลฟูริก 0.7 % w/w ที่อุณหภูมิ 190 °C จะสลายพันธะ cellulose ให้กลายเป็น sucrose โดยจะต้องใส่ปูนขาวเพื่อทำให้เป็นกลางก่อนนำไปหมัก

หมักด้วยยีสต์ : C₁₁H₂₂O₁₁ + H₂O ( sucrose )----> C₆H₁₂O₆ + C₆H₁₂O₆ ( glucose/fructose )
ยีสต์มี enzyme invetase ช่วยสลาย sucrose
C₆H₁₂O₆ --- > 2C₂H₅OH + 2CO₂
Glucose / fructose ทำปฏิกิริยากับ enzyme zymase ในยีสต์เกิดเป็นเอธานอลกับคาร์บอนไดออกไซด์

ทำให้บริสุทธิ์ : แยกยีสต์และแยกเอธานอล ออกจากสารละลาย โดยใช้การกลั่นลำดับส่วน และใช้น้ำละลายสารปนเปื้อนอื่นๆ จากนั้นจึงค่อยแยกน้ำออก

------------------------------------ [ b¥ : $ a $ k i a * ] ---------------

-- • วิธีการแยกยีสต์ • --

การคัดเลือกยีสต์ตกตะกอน เพื่อการปรับปรุงประสิทธิภาพการหมักเอทานอล และยีสต์อาหารสัตว์โดยเทคนิค fed-batch ร่วมกับการนำเซลล์กลับมาใช้


ปัจจุบันรัฐบาลส่งเสริมการผลิตเอทานอลเพื่อเป็นเชื้อเพลิง และได้สนับสนุนให้มีการใช้เอทานอลผสมกับน้ำมันเบนซินประมาณ 10-20% เพื่อผลิตแก๊สโซฮอล์ การใช้แก๊สโซฮอล์นอกจากจะช่วยลดเงินตราที่จะใช้ซื้อน้ำมันจากต่างประเทศแล้ว ยังช่วยลดปัญหาราคาตกต่ำของผลผลิตทางการเกษตร เช่น อ้อย และมันสำปะหลัง

ยีสต์ตกตะกอน (ก) ยีสต์ตะกอน (ข)
เซลล์เริ่มจับกลุ่มและตกตะกอน เมื่อหยุดเขย่า


ยีสต์สายพันธุ์ตกตะกอนคือ ยีสต์ที่เซลล์สามารถรวมกลุ่มกันและแยกออกจากอาหารที่ใช้เลี้ยง เมื่อสิ้นสุดการหมักยีสต์ประเภทนี้มีโอกาสที่จะพัฒนากระบวนการผลิตเอทานอล โดยใช้กระบวนการนำเซลล์ที่หมักแล้วกลับไปใช้ใหม่ ทำให้การผลิตเอทานอลมีประสิทธิภาพสูงขึ้น และการกลั่นเอทานอลจากน้ำหมักที่ไม่มีเซลล์ยีสต์อยู่มีการใช้พลังงานน้อยลง นอกจากนั้นยังสามารถนำเซลล์ส่วนที่ไม่ได้ใช้ไปผลิตเป็นยีสต์อาหารสัตว์ โดยไม่ต้องใช้วิธีการแยกยีสต์ที่มีราคาแพง


นักวิจัยของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับการผลิตเอทานอลสำหรับเป็นเชื้อเพลิงมาเป็นเวลานาน และได้รวบรวมยีสต์สายพันธุ์ตกตะกอนและทนอุณหภูมิสูงไว้จำนวนหนึ่ง ด้วยเหตุผลข้างต้นทีมนักวิจัยเอทานอลของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันเทคโนลาดกระบัง และกรมวิชาการเกษตร ได้ร่วมวิจัยเรื่อง การปรับปรุงการผลิตแอลกอฮอล์ของโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา เพื่อพัฒนากระบวนการผลิตเอทานอล ร่วมกับการผลิตยีสต์อาหารสัตว์ให้เหมาะสมกับสภาวะแวดล้อมของประเทศไทย ใช้ยีสต์สายพันธุ์ตกตะกอนที่แยกและคัดเลือกได้ในประเทศ ใช้อุปกรณ์เครื่องจักรที่ผลิตได้ในประเทศ รวมทั้งใช้เทคโนโลยีที่ไม่ต้องลงทุนสูง และขนาดไม่ใหญ่เกินไป โดยใช้โรงแอลกอฮอล์ของงานทดลองผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิง โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา เป็นที่ทดลองระดับโรงงานขนาดเล็ก ใช้เวลาวิจัย 1 ปี โครงการนี้ได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจาก สกว. ประกอบด้วยโครงการย่อยคือ "ยีสต์ตกตะกอนสำหรับการผลิตเอทานอลและยีสต์อาหารสัตว์" และ "การปรับปรุงประสิทธิภาพการหมักแอลกอฮอล์โดยเทคนิค fed-batch ร่วมกับการนำเซลล์กลับมาใช้"

สำหรับผลงานของโครงการทั้งสองคือ คัดเลือกได้ Saccharomyces cerevisiae M30 ซึ่งตกตะกอนได้ดี สามารถหมักเอทานอลจากกากน้ำตาล และผลิตยีสต์โปรตีนจากกากน้ำตาล และน้ำกากส่า ได้ดีกว่า S. cerevisiae Sc90 ที่ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตเอทานอล และ Candida utilis ที่ใช้ในการผลิตยีสต์โปรตีนที่มีประสิทธิภาพสูง โดย M30 ทนต่ออุณหภูมิค่อนข้างสูง ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในระบบหล่อเย็น และลดปัญหาการหมักที่ไม่สมบูรณ์ในช่วงฤดูร้อน นอกจากนั้น M30 ยังมีศักยภาพสูงสำหรับนำไปหมักเอทานอลจากกากน้ำตาล ด้วยเทคนิค repeated fed-batch โดยลดระยะเวลาการหมักเอทานอลต่อรุ่นได้เหลือต่ำกว่าระยะเวลาปกติที่ใช้ในโรงงานสุราถึงประมาณ 6-8 เท่า ทำให้ประสิทธิภาพการผลิตเอทานอลสูงขึ้น ในการผลิตยีสต์อาหารสัตว์จากกากน้ำตาล โดย M30 ในถังหมักระบบอากาศลอยตัวพบว่าการหมักแบบ batch ในสภาวะที่เหมาะสม ให้ผลผลิตเซลล์ค่อนข้างต่ำ แต่เมื่อปรับปรุงการหมักเป็นแบบ fed-batch สามารถเพิ่มผลผลิตเซลล์ เมื่อนำเทคนิคนี้ไปขยายใช้กับถังหมักในระดับกึ่งโรงงานขนาด 100 ลิตร ก็ยังคงรักษาระดับความสามารถในการผลิตได้เท่ากับในห้องปฏิบัติการ นอกจากนี้การเพิ่มเทคนิค repeated batch สามารถลดระยะเวลาการหมักลงได้อีกถึง 3 เท่า คณะผู้วิจัยกำลังจะนำผลการทดลองนี้ไปขยายผลในระดับโรงงานอุตสาหกรรม

BïoGaT Ac ฯ [8-9/nov/2007]

---------/ ♠ BïoGaT [ 8/nov/07 ] ♠ \----------

- สำรวจขนาด แบบ และวิธีการทำถังของป้าเปรี้ยวที่ใช้ในการทำก๊าซชีวภาพ

- ล้างถังหมักก๊าวชีวภาพอีกใบที่เหลือ

- นำถังก๊าซชีวภาพที่ล้างไป 1 ใบก่อนหน้านี้แล้วไปให้พี่ก้องที่เวิร์คชอป

- ออกแบบถังก๊าซชีวภาพใหม่อีกครั้งเนื่องจากถังใบเก่ามีสภาพทรุดโทรมและถูกการกัดกร่อน มีสนิมขึ้น

- นำเสนอความคืบหน้าของโปรเจ็กต์กับครูชาลี

---------- ข้อมูลและความรู้ที่ได้เพิ่มเติมในวันนี้----

- ถังก๊าซชีวภาพที่ทำจากโลหะจะถูกกัดกร่อน และบางส่วนก็ขึ้นสนิมทำให้ก๊าซรั่วได้ง่าย ซึ่งการใช้ถังที่ทำ
จากพลาสติกน่าจะดีกว่า ดังนั้นเราจึงต้องมีการปรับปรุงแบบถังใหม่

- ถังที่ใช้ทำก๊าซชีวภาพมีขนาด 200 ลิตร

---------/ ♠ BïoGaT [ 9/nov/07 ] ♠ \----------

- ออกแบบถังรวมถึงวาดแบบอย่างละเอียด

- เก็บงานเอกสารที่เหลือ

- หาข้อมูลวิธีการแยกยีสต์

- เริ่มรวบรวมใบไม้ในการทำไบโอเอธานอลและเตรียมสารซัลฟูริกเจือจาง

- แบ่งหน้าที่ในการทำงานในวันเสาร์-อาทิตย์ เพื่อหาอุปกรณ์ในการทำถังหมักก๊าซชีวภาพ

- สรุปการเรียนรู้ในสัปดาห์นี้

------ ข้อมูลและความรู้ที่ได้เพิ่มเติมในวันนี้--------

- ได้ข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องการแยกยีสต์ออกจากเอธานอล

- ใบไม้ที่จะใช้ทำไบโอเอธานอลจะต้องมีการแยกและบันทึกข้อมูลในการทำทุกครั้งวเพื่อใช้ในการสรุปผล
การทดลอง รวมถึงลองทำในครั้งต่อไปโดยแยกประเภทใบไม้เป็น ใบเลี้ยงเดี่ยว ใบเลี้ยงคู่ หรือใบไผ่

- ได้รายการอุปกรณ์ในการทำถังอย่างละเอียดเพื่อไปจัดหาซื้อ

วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

BïoGaT Ac ฯ [6,7/nov/2007]

---------/ ♠ BïoGaT [ 6/nov/07 ] ♠ \----------

- ไปรวบรวมข้อมูลการทำไบโอเอธานอลจากกรมวิทยาศาสตร์

- ปรึกษาเรื่องการทำไบโอเอธานอลกับรุ่นพี่ ม.6

- ล้างถังหมักก๊าซชีวภาพต่อจากเมื่อวันอาทิตย์

------ ข้อมูลหรือความรู้เพิ่มเติมที่ได้ในวันนี้ -------

- จากการที่ได้ล้างถังหมักก๊าซชีวภาพนั้น ตอนถ่ายเศษขยะออกมาด้านนอกพบว่า เศษพริกยังคงเป็นสีแดง

สดอยู่ แสดงว่าไม่เกิดการย่อยสลาย ดังนั้นตอนนำเศษอาหารมาใส่ลงในถังหมักก๊าซชีวภาพจึงไม่ควรนำ

พริกลงมาใส่ด้วย

---------/ ♠ BïoGaT [ 7/nov/07 ] ♠ \----------

- ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับไบโอเอธานอลที่หามาจากกรมวิทยาศาสตร์เมื่อวานนี้


------ ข้อมูลหรือความรู้เพิ่มเติมที่ได้ในวันนี้ -------

- ได้ข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องวิธีการทำไบโอเอธานอล

---------------------[ b¥ `$ a $ k i a .. ]

วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

BïoGaT Ac ฯ [ 4 /nov/2007 ]

---------/ ♠ BïoGaT [ 4/nov/07 ] ♠ \----------

- ถ่ายน้ำหมักก๊าซชีวภาพออกจากถัง

- นำน้ำหมักที่ได้ไปรดน้ำต้นไม้

- วัดค่า pH น้ำหมักชีวภาพ

------ ข้อมูลเพิ่มเติมที่ได้ในวันนี้ -----------------

- ค่า pH ที่ได้คือ 7.3

-จากผลที่ได้คาดว่าน่าจะเกิดก๊าซแต่ถังอาจจะรั่วจึงไม่สามารถนำก๊าซชีวภาพมาใช้ได้

วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

อาณาจักร -(ชีวภาพ)- OoO*



***โพรแคริโอต(prokaryote) เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเซลล์ขนาดเล็กไม่มีนิวเครียส เนื่องจากไม่มีเยื่อหุ้มแบ่งแยกไซโทพลาซึมและสารพันธุกรรมออกจากกันสารพันธุกรรมที่พบในเซลล์โพรแคริโอตส่วนใหญ่เป็น DNA เพียงโมเลกุลเดียว โดยอยู่เป็นอิสระไม่รวมกับโปรตีน นอกจากนี้เซลล์โพรแคริโอตยังไม่มีออร์แกเนลล์(organelle) ชนิดที่มีเยื่อหุ้ม เช่น ไมโทคอนเดรีย, พลาสทิด เป็นต้น ตัวอย่างของเซลล์โพรแคริโอต ได้แก่ แบคทีเรีย สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน
***ยูแคริโอต (Eukaryote) คือสิ่งมีชีวิตที่มีเซลล์สลับซับซ้อน เป็นเซลล์ขนาดใหญ่มีโครโมโซมจำนวนหลายชุด บรรจุอยู่ในนิวเคลียสอีกทีหนึ่ง อุบัติขึ้นเมื่อ 2.5 ล้านปีก่อน หลักการของยูแคริโอตคือ การบรรจุดีเอ็นเอไว้ในโครโมโซมหลายตัวซึ่งแวดล้อมด้วยโปรตีนภายในเนื้อเยื่อของนิวเคลียส สิ่งมีชีวิตที่เป็นยูแคริโอต คือ สัตว์, พืช และ เห็ดรา ซึ่งประกอบด้วยเซลล์หลายเซลล์ รวมทั้ง โพรทิสตา *เป็นสิ่งชีวิตที่เซลล์มีนิวเคลียสหรือมีเยื่อหุ้มนิวเคลียส

***โพรทิสต์ (Protist) อยู่ในโดเมนยูแคริโอต จัดอยู่ใน อาณาจักรโพรทิสตา (Kingdom Protista) เป็นพวกเซลล์เดี่ยวที่ทำหน้าที่ในเซลล์ครบอย่างสมบูรณ์ ภายในเซลล์มีขอบเขตของนิวเคลียสที่ชัดเจน บางชนิดมีอวัยวะช่วยในการเคลื่อนที่ บางชนิดมีผนังเซลล์คล้ายเซลล์พืชแต่ไม่มีคลอโรฟิลล์ สืบพันธุ์โดยการสร้างสปอร์ ดำรงชีวิตโดยการย่อยสลายสารอินทรีย์ ได้แก่ ยูกลีนา ไดอะตอม อะมีบา พารามีเซียม
***อาณาจักรเห็ดราหรือฟังไจ (Kingdom Fungi) จัดอยู่ในโดเมนยูแคริโอต (eukaryote) อาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่เซลล์เดียวหรือหลายเซลล์ ไม่มีคลอโรฟิลล์ สังเคราะห์อาหารเองไม่ได้ กินอาหารโดยสร้างน้ำย่อยแล้วปล่อยออกมาย่อยสารอินทรีย์จนเป็นโมเลกุลเล็กและดูดเข้าเซลล์ (saprophyte) ได้แก่ สิ่งมีชีวิตประเภทเห็ด รา และยีสต์

***อาณาจักรพืช (Kingdom Plantea) ประกอบด้วย ไม้ยืนต้น ไม้ดอก พืชล้มลุก และเฟิร์น พบได้ทั้งบนบกและในน้ำ เป็นสิ่งมีชีวิตที่เนื้อเยื่อส่วนใหญ่ประกอบด้วยหลายเซลล์ นิวเคลียสมีผนังห่อหุ้ม เคลื่อนที่ไม่ได้ ไม่มีอวัยวะเกี่ยวกับความรู้สึก มีคลอโรฟิลล์
ลักษณะพิเศษที่ต่างไปจากสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นก็คือการสังเคราะห์แสง แต่มีพืชจำพวกปรสิตประมาณ 300 สปีชี่ส์ที่ไม่สังเคราะห์แสงเอง แต่เกาะดูดอาหารจากพืชชนิดอื่น

***อาณาจักรสัตว์ (Kingdom Animalia) เป็นสิ่งมีชีวิตพวกที่นิวเคลียสมีผนังห่อหุ้ม ประกอบด้วย หลายเซลล์มีการแบ่งหน้าที่ของแต่ละเซลล์เพื่อทำหน้าที่เฉพาะอย่างแบบถาวร ไม่มีคลอโรฟิลล์ สร้างอาหารเองไม่ได้ ดำรงชีวิตได้หลายลักษณะทั้งบนบกในน้ำ และบางชนิดเป็นปรสิต อาณาจักรนี้ได้แก่สัตว์ทุกชนิด ตั้งแต่สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังจนถึงสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง ได้แก่ พยาธิใบไม้ กบ ลิง กระต่าย ดาวทะเล แมงดาทะเล พลานาเรีย หอยสองฝา แมลงสาบ ในทางชีววิทยา มนุษย์ ก็จัดอยู่ในอาณาจักรสัตว์

***มอเนอรา (Monera)
ประกอบด้วยสิ่งมีชีวิตจำพวกที่นิวเคลียสไม่มีผนังห่อหุ้ม (prokaryotic nucleus) และไม่มีแวคิวโอล มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น พบอยู่ทุกหนทุกแห่งในอากาศ ในน้ำ ในดิน อาจเป็นเซลล์เดียวหรือต่อกันเป็นสาย ภายในเซลล์ไม่แสดงขอบเขตของนิวเคลียสชัดเจน มีรูปร่างหลายแบบทั้งกลม แท่ง และเกลียว และยังสามารถอาศัยอยู่บนหรือในพืชและสัตว์ สมาชิกในอาณาจักรนี้ได้แก่สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินและแบคทีเรีย ปัจจุบันอาณาจักรมอเนอราได้แบ่งออกเป็นสองอาณาจักร คืออาณาจักรอาร์เคีย และแบคทีเรีย

***แบคทีเรีย หรือ บัคเตรี เป็นประเภทของสิ่งมีชีวิตประเภทใหญ่ประเภทหนึ่ง มีขนาดเล็ก มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ส่วนใหญ่มีเซลล์เดียว และมีโครงสร้างเซลล์ที่ไม่ซับซ้อนมาก
***อาร์เคีย เป็นสิ่งชีวิตที่มีลักษณะคล้ายแบคทีเรีย แต่เชื่อว่ามีวิวัฒนาการแยกมา เพราะมีเยื่อหุ้มเซลล์ที่แปลกออก



^^
แผนภูมิต้นไม้แบบวงกลม แสดงวงศ์วานวิวัฒนาการ ของสิ่งมีชีวิตระบบเซลล์ โดยแบ่งตามอาณาจักรและโดเมน สีม่วงคือแบคทีเรีย สีเทาเข้มคืออาร์เคีย สีน้ำตาลคือยูแคริโอต โดยยูแคริโอตยังแบ่งออกเป็น 5 อาณาจักรคือ สัตว์(แดง) ฟังไจ(น้ำเงิน) พืช(เขียว) โครมาลวีโอลาตา(น้ำทะเล) และ โพรทิสตา(เหลืองทอง) โดยมีจุดศูนย์กลางคือ บรรพบุรุษร่วมที่ใกล้กันที่สุดของสิ่งมีชีวิตบนโลก (LUCA)






การเรียนรู้ week 1**

จากการที่ได้ทำงานร่วมกับเพื่อนๆในสัปดาห์นี้ ทำให้ฉันเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่องานนี่ไปโดยสิ้นเชิง
ในตอนแรกที่เลือกทำBiogasก้ไม่มีเหตุผลอะไรเลย เลือกไปแบบงง เพราะไม่รู้ว่าอยากทำอะไร เเล้วก็ไม่ค่อยอยากทำด้วย
ตอนที่ให้รวบรวมข้อมูลก้ไม่ค่อยอยากจะทำเท่าไหร่

เเต่ในอาทิดที่ผ่านมานี้ฉันสนุกกับการทำงานมาก ได้พบได้เจออะไรใหม่ๆที่น่าตื่นเต้น เรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับผู้คนใหม่ๆที่ไม่ค่อยได้ทำงานร่วมกัน
ฉันมีความกระตือรือร้นที่จะทำงานมากขึ้น เพราะเมื่อได้ลองไปหาข้อมูลเเล้วก็อยากที่จะทำให้สำเร็จ ให้เห็นผลที่ออกมาน่าพอใจ เเละรู้สึกว่าการทำงานที่ต้องทำต่อเนื่องกันเเบบนี่เป็นเรื่องที่ไม่น่าเบื่อเท่าไหร่นัก อีกทั้งยังได้ฝึกการเปิดความคิดรับฟังข้อมูลที่เพื่อนๆเอามาแชร์กันอีกด้วย

ในอาทิตย์นี้ พวกเราได้ไปสัมผัสกับความรู้สึกที่อยากจะช่วยรักษาโลกใบนี้ไว้ของคนหลายคน
เลยทำให้ฉันมีความรุ้สึกว่าอยากทำโปรเจคนี้ให้สำเร็จให้ได้ เพื่อที่จะได้มีส่วนในการช่วยลดการใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลืองอีกด้วย เป็นความรู้สึกที่อยากจะให้ตัวเองมีไปตลอดโปรเจค เพื่อที่จะได้ไม่ท้อถอยเวลาเจออุปสรรคอะไรก็ตาม

สุดท้ายนี้ ถึงเเม้ว่างานในอาทิตย์นี้จะไม่ได้ออกมาตามเป้าหมายเเต่ฉันก็ภูมิใจว่าพวกเราได้ทำอย่างถึงที่สุดเเล้ว ไม่มีใครสักคนที่อิดออดเมื่อถึงเวลาทำงาน เเละเราก็ได้อะไรหลายๆอย่างมากมาย ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียง 1 อาทิตย์นี้

สรุปการเรียนรู้ประจำWeek1

สำหรับเราแล้วการมาทำงาน เอกสารและข้อมูลคงไม่ใช่เรื่องที่ถนัดนัก ยิ่งในอาทิตย์นี้แทบจะหาข้อมูลทั้งวัน ยิ่งปวดหัว โดยเฉพาะข้อมูลที่เป็นภาษาอังกฤษ ถึงมันจะลำบากแต่เราก็ผ่านมาได้ เราโชคดีที่มีเพื่อนขยันหาข้อมูล ทำให้สบายขึ้น แต่เราเองก็พยายามอ่านข้อมูลที่เพื่อนหามาเสมอ เราพบว่าแม้เรื่องที่เราไม่ถนัด ไม่ชอบ แต่ถ้าเราพยายามเราเองก็สามารถที่จะผ่านมันไปได้

แต่อุปสรรคของเราไม่จบแค่งานเอกสาร ยังมาพบกับสิ่งที่น่าสยดสยองยิ่งกว่า แม้ว่าจะเตรียมใจมาแล้วตั้งแต่เลือกโปรเจ็คนี้ คือเรื่องเกี่ยวกับถังหมัก และขี้หมู การที่เรามาทำงานต่อจากพวกพี่ๆ บางทีหลายๆคนคงคิดว่ามันจะง่ายกว่าการเริ่มทำเองใหม่ทั้งหมดเลย แต่ในความจริงแล้วมันไม่เป็นอย่างนั้นพวกเราต้องทำการตรวจถังหมัก และขี้หมูที่เคยมีอยู่แล้ว เราจำเป็นต้องล้างถังหมักเดิมเพื่อนำไปเริ่มหมักใหม่เพื่อไม่ให้เป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากร ถังหมักนั้นกลับขึ้นราอย่างน่ากลัว ทั้งยังส่งกลิ่นอย่างรุนแรง ส่วนขี้หมูที่เป็นที่สิงสถิตของเหล่าจุลินทรีย์ที่เราต้องการกลับมีหนอนขึ้นเต็มไปหมด เราเองเกิดอาการท้อแท้อยากเริ่มทำถังหมักใหม่เลย แต่การทำอย่างนั้นเป็นการขัดกับแนวคิดที่เราจะทำไบโอแก๊สขึ้นเพื่อทดแทนทรัพยากรธรรมชาติ เราจึงต้องจำใจทำ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทำไปเรื่อยๆ ทำให้เราเริ่มรู้สึกชิน กลายเป็นว่ารู้สึกธรรมดา อีกทั้งเพราะทำงานกับเป็นกลุ่ม จึงสนุกกับการทำงานมากขึ้น แม้เราจะพบปัญหาอยู่มาก ยิ่งทำให้เราพบว่าการแก้ปัญหาบางทีคนๆเดียวอาจแก้ไม่ตก แต่การที่เราได้พูดคุย ปรึกษาและรับฟังผู้อื่น ทำให้ปัญหานั้นแก้ไขได้ไม่ยากเย็นอย่างที่คิด ดังนั้นการรับฟังผู้อื่นจึงสำคัญอย่างยิ่ง เป็นการเปิดโลกความคิดของเรา

แม้ว่างานของเราจะไม่เสร็จตามเป้าหมายในสัปดาห์นี้ แต่เรากลับไม่รู้สึกผิดหวังหรือกังวลใดๆ อาจเป็นเพราะเราคาดเดาไว้แล้วว่าคงไม่เสร็จ บางทีการตั้งเป้าหมายเอาไว้ เราเองจำเป็นต้องเผื่อใจเอาไว้ด้วย แต่เราเองก็ทำเต็มที่แล้ว จึงไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นพวกถ่วงความเจริญเท่าไหร่

วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

BïoGaT Acฯ [2/nov/07]

อ่ะ เอา ลง แระ น๊ะ

---------/ ♠ BïoGaT [ 2/nov/07 ] ♠ \----------

- รวบรวมข้อมูลทั้งหมดและจัดข้อมูลรวมเป็นรูปเล่ม

- ล้างถังที่ทำก๊าซชีวภาพ 2 ใบ

- ปรึกษาข้อมูลในการทำเอธานอลกับครุชาลี

-------- ข้อมูลและความรู้เพิ่มเติมที่ได้ในวันนี้ -----


- ได้ความรู้เรื่องการสูบน้ำจากถังออกมาด้านนอกโดยใช้สายยาง
- ข้อมูลเรื่องการทำเอธานอลสามารถไปหาจากงานวิจัยได้ที่กรมวิทยาศาสตร์
- ได้ข้อสงสัยเพิ่มเติมในเรื่องของหนอนที่อาศัยอยู่ในถังขี้หมูที่ไม่น่าจะมีออกซิเจน, ทำไมหนอนบางตัวสีดำ บางตัวสีขาวและจะนำไปหาข้อมูลต่อไป
- ได้สำรวจในถังก๊าซชีวภาพ พบว่ามีราขึ้นจนถึงปากถังและมีฟอง
- ได้ข้อมูลเพิ่มเติมในเรื่องของอาณาจักรจุลินทรีย์

-----------------------------------------------------

To : EaRsHaR

ที่เรา ปริ้น ไปอ่ะ ไม่ได้ทำไรมากเลยอ่ะแก

ก็เอาที่ลงๆไว้ไปเปลี่ยนหัวข้อ แล้วก็ปริ้นเยย บางอันก็เปลี่ยนคำนิดหน่อยอ่ะนะ

ความจิง คือ ลืมไปแล้วว่าทำไรไปมั่ง 55 5

ใบกะมะได้อยุที่เรา อ่ะ ( แร้วมันอยุที่ใครฟระเนี่ย - -” )

[$a$kia] Fïr$t $teP *

ตั้งแต่ตอนเลือกโปรเจ็กต์ที่ทำก็เลือกมาแบบ งง ๆ ทำไป หาข้อมูลไป ก็ยัง งงๆ แต่ตอนนี้.. เริ่มรู้สึกว่านี่เป็นการทำงานจริงๆและกลุ่มที่ร่วมงานด้วยก็.. ลงตัว

เริ่มจากการคิดไอเดียเรื่องการแชร์ข้อมูลลงบล็อกเพื่อให้ทำงานได้ต่อเนื่องและง่ายเมื่อนำมารวมเป็นรูปเล่ม แถมยังสามารถเห็นการทำงานของเพื่อนคนอื่นๆได้ในทุกระยะ ทำให้สะดวกมากในการดูความก้าวหน้าของงานที่แต่ละคนทำอยู่ นอกจากนั้นเมื่อเห็นคนอื่นทำงานลงในบล็อก ก็ดูจะเป็นแรงกระตุ้นอย่างดีในการทำงานของเราให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น เหมือนช่วยกันฉุดให้งานไปข้างหน้า ผลที่ได้ออกมาจึงค่อนข้างเป็นไปด้วยความลื่นไหลพอสมควรและเราพอใจในผลงานค่ะ

และในสัปดาห์นี้ก็เป็นสัปดาห์ที่เรียกว่าเริ่มต้นการทำงานอย่างแท้จริง

ก่อนหน้านี้มีการหาข้อมูลและศึกษากันมาบ้างแล้ว หลังจากได้นำเสนอความก้าวหน้า ความเข้าใจในงาน และได้รับคำปรึกษา งานจึงค่อนข้างจะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาบ้าง งานที่ต้องทำชัดเจน ข้อมูลที่ต้องศึกษาก็มีหลายด้าน ทำไปทำมาก็ได้หน้าที่กันไปโดยอัตโนมัติ

ระหว่างการทำงานก็ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆเยอะ นามธรรมบ้าง รูปธรรมบ้าง คละเคล้ากันไป ได้ทำงานอย่างจริงจัง ได้วางแผนอย่างมีขั้นตอน และสามารถปรับเปลี่ยนแผนให้ได้ตามสถานการณ์ที่เหมาะสม เป็นไปตามแผนบ้าง ไม่เป็นไปตามแผนบ้างนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่อย่างน้อยก็ได้ลงมือทำตามที่สถานการณ์และเวลาจะเอื้ออำนวยแล้ว ได้ลองดูภาพรวมของงานที่จะต้องทำทั้งหมดและแบ่งหน้าที่ในการทำงานกัน ลองค้นข้อมูลในเรื่องที่ไม่เคยเรียนและนำมาทำความเข้าใจ เพราะจะต้องใช้ในการทำงาน อาจไม่ได้เข้าใจทั้งหมดแต่ก็ไม่ใช่ไม่รู้เรื่องเลย และอาทิตย์นี้ก็ดูจะเป็นอาทิตย์ที่หนักที่สุดในด้านการหาข้อมูล และปฏิบัติ แต่พอหลังๆที่จะหนักก็คงจะเป็นการแก้ปัญหาและการปรับปรุงแก้ไข ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่จะต้องทำในตอนเริ่มต้นให้ดีที่สุดเพื่อที่ในตอนหลังจะได้รอชมผลงานที่น่าพอใจ

ถ้าจะให้บอกจริงๆว่าได้เรียนรู้อะไร ในภาคทฤษฎีก็ได้รุ้เรื่องจุลินทรีย์ กฎของก๊าซ สารชีวโมเลกุล และเซลลูโลส ส่วนในภาคปฏิบัติก็ได้ไปสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้องและได้ไปสำรวจถังก๊าซชีวภาพและขี้หมู แถมยังได้ข้อสงสัยมาให้หาข้อมูลกันต่ออีก ในภาควุฒิภาวะ ได้ความรับผิดชอบ การรู้จักวางแผนและการมองภาพรวม และในบางครั้ง.. การได้ทำอะไร และคิดยังไงกับมัน.. แม้ว่าอาจจะไม่สามารถระบุการเรียนรู้ที่ได้ออกมาผ่านตัวหนังสือ แต่ใครได้อะไรก็รู้อยู่กับตัวเองนั่นแล..

REVIEW WEEK 1.................????????

สิ่งที่ได้เรียนรู้ประจำสัปดาห์ที่ 1

สิ่งที่คิดว่าได้เรียนรู้มากที่สุดในสัปดาห์แรกของการทำงานนี้คือ ได้เข้าใจความยากลำบากของนักวิทยาศาสตร์มากขึ้น นักวิทยาศาสตร์จะต้องค้นหาข้อมูล คิด และลองผิดลองถูกทำด้วยตัวเอง การทำ Bio-ethanol นี้ เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ได้ทำโครงงานโดยที่ต้องหาข้อมูลและคิดวิธีการทดลองเอง เหมือนเริ่มจากศูนย์ เพราะ project Bio-ethanol จากใบไม้นี้ไม่ใช่โครงงานที่มีคนวิจัยกันแพร่หลาย และยังไม่มีใครในโรงเรียนเคยทำเหมือนอย่าง Biogas การทำ Biogas นั้น การหาข้อมูลด้วยตัวเองส่วนหนึ่ง แต่ก็ยังมีรุ่นพี่ ม.5 และครูอีกหลายคนให้สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ถังหมักก็ยังไม่ต้องทำเองเพราะมีของเก่าอยู่แล้ว ต่างจาก Bio-ethanol ที่ต้องหาข้อมูลและเข้าไปเรียนรู้ด้วยตัวเองทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสารชีวโมเลกุล ซึ่งจะเน้นไปที่เรื่อง carbohydrate เรื่องใบไม้ enzyme และการหมัก โดยข้อมูลที่หาได้นั้น ไม่ใช่ข้อมูลที่จะเอาไปใช้และทำตามได้เลย เพราะสิ่งที่หาได้จากทั้งในหนังสือและใน internet นั้นเป็นเพียงทฤษฎี ซึ่งการที่มีแต่ทฤษฎีนั้น ทำให้ได้เรียนรู้ที่จะคิดวิเคราะห์จากข้อมูลที่มีอยู่ พยายามคิดหาวิธีของตัวเองให้ได้ และได้เรียนรู้ที่จะวางแผนจัดการทำงาน ให้ใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด ซึ่งตรงส่วนนี้คิดว่ายังต้องปรับปรุงอีก เพราะมีหลายอย่างที่ทำไม่ได้ตามที่วางแผนไว้ในตอนแรกจนต้องเปลี่ยนแผนอยู่บ่อยๆ

ณิชาลักษณ์ เลิศประพันธ์

สรุปประจำอาทิตย์

อาทิตย์นี้เรา(ถ้าพูดให้ถูกก็เพื่อนไม่ใช่เรา)ได้ทำเกี่ยวกับการหาข้อมูลเป็นส่วนใหญ่ ขาดก็แค่ข้อมูลการทำเอทานอล และทางการปฏิบัติก็ได้ล้างถังไปสองใบ ความรู้ที่ได้คือเรื่องกาลักน้ำโดยได้ความรูจากครูชาลี ส่วนขั้นตอนการหมักแบบคร่าวๆได้มาจากป้าเปรี้ยว และความรู้เรื่องเศษอาหารที่ควรใช้ในการหมัก และได้เห็นหนอนที่เกิดจากขี้หมู เมื่อมันออกมานอกถังมันก็ตายเราจึงได้ข้อสงสัยเรื่องของหนอน

วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

FROM EARSHAR TO BIOGAT MEM.

to saskia
เอาที่พิมพ์วันนี้ที่โรงเรียนที่ print มาแล้วมาลง blog หน่อยนะ เราจะไปจัดหน้าใหม่และเอารูปลง เพื่อความสวยงสมที่ความหนาของรายงานเรา
to whisky, lassie and peter
ข้อมูลทั้งหมดที่จะเอาลงรายงานช่วย post ให้ด้วยนะ เผื่อเราจะใส่รูปและระ print สีไปให้
to everyone
อย่าลืมเขียนสิ่งที่ได้เรียนรู้ประจำอาทิตย์นี้ของตัวเองกันด้วยน้า แล้วก็อย่าลืม post ล่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

summerize ethanol transition step by step thai ver.

ขั้นตอนการเปลี่ยนใบไม้เป็น ethanol
1. รวบรวมใบไม้
2. ตัดใบไม้ให้เป็นชิ้นเล็กลง
3. แยก hemicelluloses, lignin และวัสดุอื่นๆในใบไม้ออกจาก cellulose โดยการให้ความร้อนและสารเคมีบางชนิด (ยังไม่รู้กระบวนการที่แน่นอน)
4. แยกสลายพันธะ cellulose ให้เป็น fructose และ glucose โดยการเข้าทำปฏิกิริยากับ enzymes (วิธีนี้ใช้ค่าใช้จ่ายสูง) หรือใช้การ hydrolyze ด้วย sulfuric acid (เราน่าจะใช้วิธีนี้ สำหรับขั้นตอนการ hydrolyze ที่ละเอียดมากขึ้น อ่านใน ethanol production ที่เรา post ไว้)
5. เปลี่ยน glucose และ fructose เป็น ethanol โดยการหมักด้วย yeast (น่าจะเหมือนทำ wine ตอน ม. 2 สำหรับรายละเอียด อ่านใน ethanol production เช่นกัน)

CELLULOSE...................?????????

Cellulose
Cellulose, the most common form of carbon in biomass, is also a biopolymer of glucose. In this case, the glucose moieties are strung together by ß-glycosidic linkages. The ß-linkages in cellulose form linear chains that are highly stable and much more resistant to chemical attack because of the high degree of hydrogen bonding that can occur between chains of cellulose (see Figure 2). Hydrogen bonding between cellulose chains makes the polymers more rigid, inhibiting the flexing of the molecules that must occur in the hydrolytic breaking of the glycosidic linkages.

leave thai ver.

เส้นใยของพืชมีขนาดเล็กกว่าเส้นผม ตรงกลางมีลักษณะกลวง ผนังหนา ส่วนที่เป็นเซลลูโลสทั้งหมดจะอยู่ที่ผนังเซลล์ รวมทั้งส่วนใหญ่ของเฮมิเซลลูโลสด้วย ส่วนที่เป็น lignin จะอยู่ที่ผนังเซลล์เพียงครึ่งเดียว ที่เหลือจะอยู่ระหว่างผนังเซลล์ของ แต่ละเส้นใย lignin ระหว่างผนังเซลล์นี้จะกำจัดออกไปได้ง่าย แต่ lignin ที่ปะปนอยู่ในผนังเซลล์จะกำจัดออกยาก ในกระบวนการ ผลิตกระดาษจึงมุ่งกำจัด lignin ระหว่างผนังเซลล์เป็นสำคัญ lignin ทำหน้าที่คล้ายการช่วยจับยึดเส้นใยเข้าไว้ด้วยกัน lignin ทำให้อ่อนตัวได้ด้วย ความร้อน ช่วยให้เส้นใยแยกออก จากกันได้ ซึ่งหลักการนี้นำไปใช้ในการผลิตเยื่อกระดาษโดยวิธีทางกายภาพ (mechanical pulping) lignin ละลายได้ในน้ำยาต้มเยื่อซึ่งมีทั้งชนิดเป็น กรดและด่างจึงใช้เป็นวิธีผลิตเยื่อกระดาษทางเคมี (chemical pulping)
เซลลูโลส (Cellulose) เป็น polysaccharide ที่ประกอบด้วยกลูโคสหลาย ๆ โมเลกุลเชื่อมต่อกันเป็นสายยาว เซลลูโลสจะเรียงตัวขนานกันและเชื่อมยึดกันด้วยพันธะไฮโดรเจน มีลักษณะเป็นกลุ่มเรียกว่า ไมโครไฟบริล (microfibril)ลิกนิน (lignin) เป็นสารอินทรีย์ที่ทำให้ผนังเซลล์มีความแข็งแรงในเนื้อเยื่อ หรือเนื้อเยื่อ หรือเนื่อไม้ที่มีอายุน้อยจะมี lignin น้อยกว่าที่มีอายุมาก

BïoGaT Activitie$ *[30-31/oct/07]

เอามาลงก่อง เผื่อได้ใช้ นานไปเด๋วจาลืมเอา ว่าวันไหนทำไรมั่ง

เริ่มจากวันอังคารนะ อะเช๊ ? หุๆ

---------/ ♠ BïoGaT [ 30/oct/07 ] ♠ \----------

- รวบรวมข้อมูลที่หามาได้ทั้งหมดเกี่ยวกับเรื่องก๊าซชีวภาพ

- วางแผนการดำเนินงานของการทำก๊าซชีวภาพ

- ศึกษาถังที่ใช้ในการหมัก

- นำเสนอแผนงานและปรึกษาแนวทางการทำงานกับคุณครูชาลี

- สำรวจถังหมักของพี่ ม.5 แบบคร่าวๆ

- หาและศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมในเรื่องของชีวโมเลกุล กฎของก๊าซ การทำ Bioethanol และการย่อยสลายของเซลลูโลส

--------- ข้อมูลเพิ่มเติมที่ได้ในวันนี้ -------------

- ได้ศึกษาแบบถังหมักก๊าซชีวภาพ

- ได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเซลลูโลส จุลินทรีย์ กฎของก๊าซ และสารชีวโมเลกุล

- ออกแบบผังในการทำงาน

---------/ ♠ BïoGaT [ 31/oct/07 ] ♠ \----------

- สัมภาษณ์และปรึกษาป้าเปรี้ยวเกี่ยวกับถังหมักรวมถึงวิธีการหมักก๊าซชีวภาพ

- พิมพ์ขั้นตอนการดำเนินงานและจุดประสงค์การทำงาน

- รวบรวมทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการทำก๊าซชีวภาพเพิ่มเติม

--------- ข้อมูลเพิ่มเติมที่ได้ในวันนี้ -------------

- ตอนที่ป้าเปรี้ยวทำ พลังงานจากก๊าซชีวภาพที่ได้มากที่สุดสามารถต้มน้ำให้เดือดได้หม้อหนึ่ง

- ต้องเอาเศษอาหารออก 2 – 3เดือน / ต่อครั้ง

- หลังจากเริ่มทำการหมักจำเป็นต้องทิ้งเศษอาหารไว้ 15 วันเพื่อให้จุลินทรีย์เริ่มทำงาน

- ได้ข้อมูลเพิ่มเติมจากการค้นหาว่า gas 1 ลูกบาศก์เมตร จะใช้ทามอาหารสำหรับ 1 ครอบครัวได้ 3 มื้อเเล้ว 1 ลบ.ม. จะเท่ากับ 1000 ลิตรจากข้อมุลที่เราหามากล่าวว่า gas ที่ได้จากการหมัก( แบบที่ป้าเปรี้ยวทำ ) จะได้gasวันละประมาณ 5.8 ลิตร (0.0058 ลบ.ม.)ต่ออาหารที่ใส่ลงไป คือ 1 กก.

จะเทียบบัญญัติไตรยางค์ได้ว่าgas 0.0058 ลบ.ม. ใช้อาหาร 1 kg

gas 1 ลบ.ม. ใช้อาหาร 1/0.0058 * 1 = 172.42 kg. ต่อวัน

และเนื่องจากต้องใช้ปริมาณเศษอาหารที่ค่อนข้างมากและจะทำให้เสียเวลามากในการทำ เราจึงเปลี่ยนเป้าหมายใหม่เป็นทดแทนพลังงาน 30 % ในการทำอาหาร 1 มื้อ แทนการทดแทนพลังงานในการทำทั้งหมด

- เศษอาหารที่เหลือในแต่ละวันมีทั้งที่นำไปเป็นอาหารปลา และทำปุ๋ย

-------------------------------------------------

กะว่า ถ้ามีบันทึกการเรียนรู้จะได้เอามาลงคู่กันว่าวันไหนทำอะไรแล้วได้อะไร

เพื่อรายงานอันเพอร์เฟ็กต์ของเรา \ *0* / เย้ ~!! 555+

BïoGaT Ac ฯ [1/11/07]

---------/ ♠ BïoGaT [ 1/nov/07 ] ♠ \----------

- สัมภาษณ์ครูหมูเกี่ยวกับปริมาณเศษอาหารในแต่ละวัน

- สัมภาษณ์ครูปุ้ยเกี่ยวกับข้อมูลเพิ่มเติมในการทำก๊าซชีวภาพ


- นำเสนอความก้าวหน้าในการทำงานในชั้น

---------- ข้อมูลเพิ่มเติมที่ได้ในวันนี้ ----------------

- รู้แหล่งของขยะที่เป็นเศษอาหารในโรงเรียนว่าตั้งอยู่บริเวณโรงครัวและมีประมาณ 5 – 6 ถังต่อวัน

- เศษอาหารที่เหลือจากการรับประทานอาหารของแต่ละตึกจะถูกนำไปเป็นอาหารปลา

- เศษอาหารที่เหลือจากการทำอาหารอย่างเช่น เศษผัก เศษเปลือกผลไม้ ฯลฯ ถูกนำไปทำเป็นปุ๋ยหมัก

- หากต้องการจะใส่เศษอาหารลงไปในถังหมักชีวภาพในแต่ละวันไม่ควรใส่เศษอาหารที่ชิ้นใหญ่ เช่น ไม้เสียบลูกชิ้น กระดูกชิ้นใหญ่ วุ้นมะพร้าว เพราะเศษอาหารเหล่านี้จะย่อยสลายช้ากว่าเศษอาหารทั่วไป

- ในแต่ละวันจำเป็นต้องเดินตรวจดูตามตึกว่าแต่ละตึกทำอาหารประเภทไหนและเราจะสามารถนำมาใส่ลงถังหมักก๊าซชีวภาพได้หรือไม่ โดยดูว่ามีก้างหรือกระดูกที่ย่อยสลายยากหรือไม่ และที่จะย่อยสลายง่ายก็เช่น เส้นก๋วยเตี๋ยว ซึ่งเป็นเศษอาหารที่ย่อยสลายง่าย

- จำเป็นต้องเติมเศษอาหารทุกวันเพื่อให้จุลินทรีย์ได้ทำงานอย่างสม่ำเสมอ และควรกวนทุกครั้งหลังจากใส่ไปแล้ว เพื่อให้จุลินทรีย์ได้ทำงานอย่างทั่วถึง และถ้าไม่ใส่เศษอาหารทุกวันจะไม่เกิดก๊าซชีวภาพ

- ต้องติดต่อพี่แม่บ้านในแต่ละตึกเกี่ยวกับเรื่องเศษอาหารให้พี่แม่บ้านเก็บไว้ให้อย่าเพิ่งไปเทลงในถังรวมเศษอาหารซึ่งมีความสกปรกเพราะมีทั้งเศษอาหารใหม่และเก่า

- ครูปุ้ยแนะนำว่าควรใช้เศษอาหารที่เหลือจากการรับประทานอาหารในแต่ละวันมากกว่าเศษอาหารที่เหลือจากการทำอาหาร เนื่องจากเศษอาหารเหล่านี้จะเกิดการบูดซึ่งจะเกิดก๊าซชีวภาพได้ง่ายกว่า


BïoGaT Plan [ N e w ] ~

W ee k 1 :: รวบรวมข้อมูลและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการทำก๊าซชีวภาพ , สำรวจแหล่งขยะและปริมาณของขยะภายในโรงเรียน , สัมภาษณ์ผู้ที่เคยมีส่วนช่วยและเป็นผู้ทำก๊าซชีวภาพ( ในที่นี้หมายถึงครูดุจ ป้าเปรี้ยว ครูหมูและครูปุ้ย ) , สำรวจถังพี่ ม.5 เพื่อดูปัญหาของถังที่ไม่มีก๊าซชีวภาพเกิดขึ้นเพื่อหาแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขให้สามารถนำมาใช้งานได้จริง, ทำความสะอาดและซ่อมแซมส่วนที่เสียหายของถัง

W ee k 2 :: รวบรวมวัตถุดิบในการหมักก๊าซชีวภาพ ซึ่งก็คือ เศษอาหารและขี้หมูแห้ง รวมอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการหมักให้เรียบร้อย และถ้าหากวัตถุดิบและอุปกรณ์พร้อมก็เริ่มทำการหมักเลย ในระหว่างที่รอให้ก๊าซชีวภาพจากเศษอาหารเกิดขึ้นก็รวบรวมข้อมูลและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับ bio ethanol

W ee k 3 :: เตรียมวัตถุดิบในการทำและทอลองทำ bio ethanol

W ee k 4 :: เริ่มเติมเศษอาหารลงในถังหมักก๊าซชีวภาพ สังเกตการเปลี่ยนแปลง และรอให้เกิดก๊าซชีวภาพ

W ee k 5 :: ลองทำ bio ethanol ต่อ

W ee k 6 :: วิเคราะห์ และสรุปข้อมูลในการทำก๊าซชีวภาพและ bio ethanol หากมีปัญหาให้วิเคราะห์ปํญหาเพื่อหาทางปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นต่อไป

หมายเหตุ :: มีการบันทึกข้อมูล หาข้อมูลเพิ่มเติม บันทึกการเรียนรู้ในแต่ละวันอย่างสม่ำเสมอ

แนวคิด เพิ่มเติมเกี่ยวกับการผลิตเอทานอล

ส่วนด้านการผลิตเอทานอล จากที่ค้นคว้าพบว่าเอทานอลมักผลิตจากสารที่มีแป้งประกอบ เช่น มันสำปะหลัง อ้อย ซึ่งสิ่งเหล่านี้มักจะสามารถนำมาทำเป็นอาหารรับประทานได้ทั้งนั้น ยิ่งสำหรับในพื้นที่แห้งแล้ง มีพืชผักขึ้นน้อย หากต้องการผลิตเอทานอลจำเป็นต้องยอมสละอาหารซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตแล้ว ทำให้ปัญหาการขาดอาหารหนักข้อยิ่งขึ้น หากเราสามารถสร้างเอทานอลจาก พวกเซลลูโลสซึ่งเราไม่นำมาใช้ประกอบอาหารและถือเป็นขยะ จะเป็นประโยชน์อย่างมาก

<----เป้าหมาย----< ฉบับปรับปรุง : ไบโอเอทานอล ยังไม่สมบูรณ์*~

เราหวังว่าจะสามารถสร้างแก๊สชีวภาพขึ้นมาได้จริงๆ เพื่อที่จะไว้นำไปใช้เป็นแก๊สหุงต้มในโรงเรียนของเรา แต่หากเราต้องการที่จะใช้แก๊สชีวภาพในการทำอาหารในโรงเรียนทั้งหมด จากข้อมูลที่เราได้สืบค้นมาพบว่าต้องใช้เศษอาหารในการหมักต่อวันกว่าประมาณ170กิโลกรัมจึงจะสามารถผลิตแก๊สได้มากพอ ซึ่งจำนวนของเศษอาหารมากขนาดนี้หากเราต้องการใช้เศษอาหารเฉพาะที่เหลือในโรงเรียนคงจะไม่เพียงพอ เราจึงคิดที่จะใช้แก๊สชีวภาพในการทดแทนพลังงานจากแก๊สอื่นเพียง30%เท่านั้น โดยจำนวนอาหารในการหมักแต่ละวันจะตกอยู่ที่ประมาณ50กิโลกรัม ซึ่งเราคิดว่าไม่ยากเกินไปที่จะหามาได้จากเศษอาหารเหลือทิ้งในโรงเรียน

จากที่เรามีโครงการเกี่ยวกับไบโอดีเซล เพื่อเป็นการใช้พลังงานสะอาดครบวงจร เราจึงคิดที่จะผลิตเอทานอลขึ้นเพื่อใช้ทดแทนเมทานอลที่ใช้ผลิตไบโอดีเซล เป็นลดค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อสารเคมี

วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2550

BïoGaT Plan *

แผนการทำงานของ BïoGaT **

W ee k 1 :: สำรวจถังพี่ ม.5 , แหล่งขยะและปริมาณของขยะภายในโรงเรียน , สัมภาษณ์ผู้ที่เคยมีส่วนช่วยและเป็นผู้ทำก๊าซชีวภาพ( ในที่นี้หมายถึงครูดุจและป้าเปรี้ยว )

W ee k 2 :: หาและรวบรวมวัตถุดิบในการหมักก๊าซชีวภาพ ซึ่งก็คือ เศษอาหารและขี้หมูแห้ง รวมถึงทำการล้างและซ่อมแซมส่วนที่เสียหายของถังและวิเคราะห์ปัญหารวมถึงปรับปรุงแก้ไขที่ไม่มีก๊าซชีวภาพเกิดขึ้น เพื่อให้สามารถนำก๊าซชีวภาพมาใช้ได้จริง

W ee k 3 :: เริ่มทำการหมักก๊าซชีวภาพ ปรับค่า pH ให้อยู่ในช่วง 6.5 - 7.0 และทิ้งถังที่หมักเศษอาหารไว้ประมาณ 15 วัน( ตามที่ป้าเปรี้ยวบอก ) ระหว่างนั้นหาข้อมูลเพิ่มเติมในการทำ Bioetanol ด้วยใบไม้รวมถึงออกแบบการสกัดและรวบรวมใบไม้เพื่อนำมาหมัก

W ee k 4 :: ทำถังหมักใบไม้ เมื่อทำเสร็จก็เริ่มทำการหมัก

W ee k 5 :: คอยเติมเศษอาหารทุกๆวัน ในบ่อก๊าซชีวภาพที่หมักจากเศษอาหาร เติมเศษใบไม้ในบ่อ Bioethanol สรุปปัญหาที่พบ ทำการวิเคราะห์ปัญหา สรุปรวมรวมข้อมูลรวมถึงหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อนำมาปรับปรุงและแก้ไขปัญหานั้นๆต่อไป

------------------------------------------------ [ b¥ : $ a $ k i a ] ------------------------------------

To :: EaRsHaR

แบม จ๋า ที่พิมกันวันนี้ในชม.อ่ะ เอามาลงด้วยจิ

เพราะ ไม่ค่อย มั่นใจแผนการทำงานอ่ะ นี่ลองพิมมาให้ดูคร่าวๆนะ

เผื่อว่าจะได้เอามาแก้ไขให้ละเอียดขึ้นอีกที นุง อ่า หุๆ

From :: $askia


----------------------------------------------------------------------------------------------------------

€diT ใหม่ แล้วน้อ ~ \ *0* /

final main idea..............????????

แนวคิดหลักในการทำ Biogas
ในเทอมนี้ เราได้เรียนในเรื่องของภูมิอากาศและปรากฏการณ์ตามธรรมชาติต่างๆ ทั้งในระดับโลก ระดับทวีป จนถึงประเทศไทย ซึ่งจากการศึกษาสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาตินี้ ทำให้เราได้รู้ว่าโลกที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ กำลังถอยห่างจากธรรมชาติออกไปทุกทีๆ และปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ก็คือ “ภาวะโลกร้อน” เราได้รู้ว่าภาวะโลกร้อนเกิดจากการที่มีก็าซเรือนกระจกถูกปล่อยออกสู่อากาศ ก็าซเหล่านี้จะดูดซับและกักแสงอาทิตย์เอาไว้ภายในโลก ซึ่งก็าซที่ดูดซับแสงอาทิตย์ไว้มากที่สุดก็คือ CO2 นอกจากจะเรียนรู้การเกิดภาวะโลกร้อนแล้ว เราก็ยังได้เรียนรู้ถึงผลกระทบที่ตามมากับภาวะโลกร้อน ไม่ว่าจะเป็นการขยายตัวของทะเลทราย อัตราการเกิดน้ำท่วมที่เพิ่มมากขึ้น หรือการระบาดของเชื้อโรคต่างๆ ซึ่งจากปัญหาเหล่านี้ ถ้าเราไม่ทำอะไรซักอย่างเพื่อช่วยกันชะลอภาวะโลกร้อน โลกของเราก็คงจะต้องเข้าสู่ภาวะวิกฤตที่ร้ายแรงอย่างไม่เคยมีมาก่อน หลังจากได้มองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับโลกของเราแล้ว เราก็ได้เรียนในเรื่องของสารประกอบ Hydrocarbon ซึ่งเป็นสารอินทรีย์ชนิดหนึ่ง เราได้เรียนรู้ตั้งแต่การเรียกชื่อสารประกอบ Hydrocarbon ทำให้เราได้รู้ว่าทั้ง Petroleum น้ำมันทั้งเบนซินและดีเซล รวมถึงเชื้อเพลิงต่างๆ ล้วนเป็นสารประกอบ Hydrocarbon ทั้งสิ้น จากนั้น เราก็ได้เรียนปฏิกิริยาการเผาไหม้ของสารประกอบ Hydrocarbon ซึ่งเมื่อเผาไหม้แล้วก็จะได้ CO2 กับน้ำ ดังนั้นการที่เราใช้รถหรือเผาไหม้เชื้อเพลิงต่างๆ ก็ล้วนปล่อย CO2 ออกสู่อากาศทั้งสิ้น เท่ากับว่าเราได้ใช้วิชาเคมีมาอธิบายสิ่งที่เกิดให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
โลก.. ไม่สามารถหาความแน่นอนได้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อไหร่และอย่างไร หลายปีมาแล้ว ที่มนุษย์ใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลืองโดยปราศจากการคิดคำนึงถึงเหตุที่จะเกิดในภายภาคหน้า หรือความสำคัญของธรรมชาติ อย่างที่ใครคนหนึ่งเคยกล่าวไว้ โลกในเวลานี้คือเวลาที่จะรับผลจากการกระทำในอดีต โดยไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขหรือป้องกันไม่ให้เกิดความแปรปรวนได้เลย ที่ทำได้มีเพียงการชะลอให้ภัยพิบัติเกิดขึ้นช้าลงเท่านั้น
ปัจจุบัน เทคโนโลยีใหม่ๆ และการทำอุตสาหกรรม เป็นการสูบใช้พลังงานในปริมาณมหาศาล ซึ่งแน่นอนว่าเป็นการปล่อย CO2 ปริมาณมหาศาลด้วย แต่ในโลกยุคปัจจุบันนี้ การจะให้เลิกใช้พลังงานก็คงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น คงจะดีไม่น้อยถ้าเรามีวิธีเปลี่ยนสารอินทรีย์ให้เป็นพลังงานโดยไม่ต้องเผาไหม้ Biogas จึงเป็นหนึ่งในพลังงานทางเลือกที่น่าจะช่วยโลกของเราได้ เพราะ Biogas นั้น เป็นก็าซที่เกิดจากการหมักสารอินทรีย์ในสภาพไร้ออกซิเจน โดยจะเกิด CH4 เป็นส่วนใหญ่ โดย Biogas สามารถนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงทั้งในการประกอบอาหารและรถยนต์ รวมทั้งนำมาผลิตเป็นไฟฟ้า ไม่เพียงเท่านั้น Biogas ยังถือได้ว่าเป็นการเปลี่ยนขยะเป็นทรัพยากรอย่างแท้จริง เพราะ Biogas นั้นสามารถใช้สารอินทรีย์อะไรก็ได้มาหมัก เศษอาหารและเศษใบไม้ต่างๆที่น่าจะเป็นขยะ จึงกลายมาเป็นพลังงานได้ด้วยการทำ Biogas
ในโรงเรียนรุ่งอรุณเรานี้ วัตถุดิบที่เราสามารถนำมาทำ Biogas ได้คือเศษอาหารเหลือทิ้งปริมาณมหาศาลในโรงเรียนที่มีอยู่ทุกวัน ทั้งที่มาจากอาหารกลางวันของทั้งครูและนักเรียนกว่าพันคนในโรงเรียน และร้านขายขนมทั้งสองที่ นอกจากนี้ เรายังสามารถนำเศษใบไม้ที่มีอยู่ทั่วไปในโรงเรียนมาหมักเป็น Biogas ได้ ถ้าหากเราสามารถทำ Biogas ได้สำเร็จ เราคิดว่าจะนำก็าซที่ได้มาเป็นเชื้อเพลิงหมุนเวียนในการทำอาหาร เพราะ Biogas นั้นสามารถนำมาใช้เป็นพลังงานในการหุงต้มได้โดยตรง และเรายังสามารถนำกากที่เหลือจากการหมักมาใช้เป็นปุ๋ยชีวภาพคุณภาพดีได้อีกด้วย ส่วนปัญหาที่คาดว่าจะพบคือ วัตถุดิบไม่เพียงพอ เนื่องจากต้องใชช้ Biogas ถึง 1 ลูกบาศก์เมตรในการทำอาหาร 3 มื้อ โดยมื้อในที่นี้ก็เป็นเพียงมื้อเล็กๆที่กินกันในครอบครัวเท่านั้น ปัญหาอีกข้อก็คือ โดยปกติแล้ว การทำ Biogas จะใช้มูลสัตว์ซึ่งผ่านการย่อยสลายจนมีอนุภาคเล็กลงมาแล้ว เพื่อให้ย่อยสลายง่ายในขั้นตอนการหมัก แต่เศษอาหารและใบไม้ของเรานั้น มีอนุภาคที่ใหญ่ จึงอาจทำให้ย่อยสลายได้ไม่ดีเท่าใดนัก
ถ้าหากว่าทุกประเทศทั่วโลกหันมาใช้พลังงานทางเลือกอย่าง Biogas กันมากขึ้น ถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่สามารถใช้ Biogas เป็นพลังงานแทน Petroleum ได้ทั้งหมด แต่สิ่งที่จะลดลงอย่างแน่นอนหากเราหันมาทำ Biogas ก็คือ CO2 ทั้งจากการเผาขยะและ Petroleum ถึงแม้ว่าขยะกว่า 50% จะไม่ใช้สารอินทรีย์ที่นำมาหมักได้ แต่ก็ยังมีขยะเป็นจำนวนมาก ที่ยังสามารถนำมาหมักเป็น Biogas ได้ หากเราไม่นำขยะเหล่านั้นมาแปรรูป ขยะเหล่านั้นก็คงต้องถูกเผาในโรงกำจัดขยะ นอกจากจะลด CO2 ได้แล้ว ก็ยังจะสามารถลด CH4 ซึ่งเป็นมลพิษและเป็นหนึ่งในก็าซเรือนกระจกได้ โดยการเปลี่ยนให้กลายเป็นพลังงาน ในภาคเกษตรกรรม หากเกษตรกรนำเอามูลสัตว์และเศษใบไม้มาหมัก จะสามารถลดต้นทุนได้ทั้งในการกำจัดขยะและการซื้อปุ๋ยเคมี เพราะกากที่ได้จากการหมัก เป็นปุ๋ยชีวภาพที่ผ่านการหมักและการย่อยสลายมาอย่างเต็มที่แล้ว จึงเป็นปุ๋ยคุณภาพดียิ่งกว่าปุ๋ยเคมีเสียอีก การทำ Biogas ยังช่วยลดมลพิษ กลิ่นเหม็น และควันไฟจากการเผาขยะ รวมถึงช่วยบำบัดน้ำ ทำให้ทัศนียภาพในเมืองหน้าอยู่มากขึ้น เท่ากับว่า Biogas นี้จะสามารถให้ประโยชน์ได้ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม พลังงาน และเกษตรกรรม
สำหรับตัวพวกเราเอง สิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อเราอย่างแน่นอนหากเราทำ Biogas ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม คือ เราจะได้ความรู้ใหม่ๆ อย่างแรกเลยก็คือความรู้เรื่องเกี่ยวกับพลังงานทดแทนและ Biogas ความรู้ในวิชาเคมี ในเรื่องของปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นขณะหมัก วิชาชีววิทยา ในเรื่องของจูลินทรีย์ ตลอดจนวิชาฟิสิกส์ ในเรื่องของอุณหภูมิ ความดัน และพลังงาน เป็นต้น นอกจากในด้านความรู้แล้ว เรายังจะได้ฝึกตนเองให้มีความละเอียดรอบคอบ เพราะ Biogas เป็นการทำงานกับก็าซ จึงต้องอาศัยความพิถีพิถันและความละเอียดอ่อนในการทำงาน ได้ฝึกความอดทน รับผิดชอบต่อการทำงาน การแก้ปัญหา และสิ่งที่พวกเราคิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อตัวเรามากที่สุดในการทำ Biogas ครั้งนี้คือ พวกเราจะได้รับรู้ถึงความยากลำบากในการทำงาน ให้เรารับรู้ว่า เวลาที่เราใช้พลังงานมหาศาลนั้น เราทำได้อย่างง่ายดาย แต่การที่เราจะผลิตพลังงานด้วยตัวเองเพียงเล็กน้อยนั้นยากลำบากเพียงใด

“ไม่ต้องคิดว่าอะไรที่ทำแล้วจะดีที่สุดและเป็นประโยชน์มากที่สุดในภายภาคหน้า แต่ให้คิดว่า อะไรที่ไม่ได้ทำแล้วจะเสียดายที่สุดในปัจจุบัน ก็จงทำสิ่งนั้น”

AIM AND STEP............????

จุดประสงค์ในการทำ Biogas และ Bioethanol
- เพื่อเรียนรู้เทคนิควิธีการทำ Biogas และ Bioethanol จากใบไม้
- เพื่อเรียนรู้กระบวนการหมักแบบไม่ใช้ออกซิเจน
- เพื่อเรียนรู้ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการทำ Biogas เช่น สารประกอบชีวโมเลกุล กฎของ gas จุลินทรีย์ การคำนวณความดัน พลังงานความร้อน ปริมาตร gas และ enzymes

ขั้นตอนการดำเนินการ
1. ศึกษาข้อมูลและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับ Biogas และ Bioethanol
2. สำรวจแหล่งขยะและวิเคราะห์ปริมาณขยะในโรงเรียน โดยสอบถามจากครูดุจและป้าเปรี้ยว
3. สำรวจถังหมักที่มีอยู่เดิม วิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้น และออกแบบวิธีการปรับปรุงแก้ไขให้สามารถนำ gas มาใช้ได้จริง
4. ล้างถังหมัก และซ่อมแซมส่วนที่เสียหาย
5. รวบรวมวัตถุดิบที่จะนำมาหมัก ในที่นี้คือเศษอาหาร และขี้หมูแห้ง
6. ทำการหมัก ปรับค่า pH ให้อยู่ระหว่าง 6.5-7.0
7. ระหว่างรอให้เกิด Biogas (คาดว่าใช้เวลาประมาณ 15วัน) รวบรวมข้อมูลและเริ่มออกแบบวิธีการสกัด Bioethanol จากใบไม้
8. เริ่มรวบรวมเศษใบไม้และนำมาทำ Bioethanol
9. หลังจาก 15 วันผ่านไป สังเกตผลที่เกิดจากการหมัก Biogas หากได้ gas ในปริมาณมากพอที่จะทำอาหารหนึ่งมื้อแล้ว จะเริ่มหมัก Biogas ด้วยใบไม่ หากยังไม่สำเร็จ จะติดตามผลและปรับปรุงแก้ไขต่อไป ควบคู่กับการทำ Bioethanol

**.....FOOD.....**

คือว่าอย่างที่ป้าเปรี้ยวบอกอ่านะว่า gasที่เราได้ออกมาจากถังนั้นอ่ะมันน้อยเกินไป
เราก็เลยลองๆมาคิดดู
คือ gas 1 ลูกบาศก์เมตร อ่ะนะจะใช้ทามอาหารสำหรับ 1 ครอบครัวได้ 3 มื้อ
เเล้ว 1 ลบ.ม. อ่านะ จะเท่ากับ 1000 ลิตร
เเล้วจากข้อมุลที่เราหามา เค้าบอกว่า gasที่ได้จากถังนั้นอ่ะ (ในกรณีที่การทดลองอยุ่ตัวเเล้วอ่ะนะ)จะได้gasวันละปะมาน 5.8 ลิตร (0.0058 ลบ.ม.)ต่ออาหารที่ใส่ลงไป คือ 1 กก.

จะเทียบบัญญัติไตรยางค์ได้ว่า
gas 0.0058 ลบ.ม. ใช้อาหาร 1 kg.
gas 1 ลบ.ม. ใช้อาหาร 1/0.0058 * 1 = 172.42 kg. ต่อวัน

วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2550

ว่าด้วย.....เรื่องแก๊ส ^o^V

http://chem.flas.kps.ku.ac.th/LectureNotes/728111/111-ch04_Gas.ppt#256,1,แก๊ส (Gas)

งำๆ คลิก หุหุ openเยย

อ่านเพิ่มเติมได้ที คัมภีร์~ หน้า 298-315 งับ

ETHANOL PRODUCTION............??????

Concentrated Acid Hydrolysis Process The Arkanol process works by adding 70-77% sulphuric acid to the biomass that has been dried to a 10% moisture content. The acid is added in the ratio of 1.25 acid to 1 biomass and the temperature is controlled to 50C. Water is then added to dilute the acid to 20-30% and the mixture is again heated to 100C for 1 hour. The gel produced from this mixture is then pressed to release an acid sugar mixture and a chromatographic column is used to separate the acid and sugar mixture.
Dilute Acid Hydrolysis The dilute acid hydrolysis process is one of the oldest, simplest and most efficient methods of producing ethanol from biomass. Dilute acid is used to hydrolyse the biomass to sucrose. The first stage uses 0.7% sulphuric acid at 190C to hydrolyse the hemi cellulose present in the biomass. The second stage is optimised to yield the more resistant cellulose fraction. This is achieved by using 0.4% sulphuric acid at 215C.The liquid hydrolates are then neutralised and recovered from the process.
Sugar Fermentation Process The hydrolysis process breaks down the cellulostic part of the biomass or corn into sugar solutions that can then be fermented into ethanol. Yeast is added to the solution, which is then heated. The yeast contains an enzyme called invertase, which acts as a catalyst and helps to convert the sucrose sugars into glucose and fructose (both C6H12O6). The chemical reaction is shown below: C12H22011+H2O----->C6H12O6+C6H12O6
sucrose glucose fructose
The fructose and glucose sugars then react with another enzyme called zymase, which is also contained in the yeast to produce ethanol and carbon dioxide. The chemical reaction is shown below: C6H12O6----->2C2H5OH+2CO2
glucose/fructose ethanol
The fermentation process takes around three days to complete and is carried out at a temperature of between 250C and 300C.

เห็นเป็นภาษาอังกฤษก็อย่าเพิ่งตกใจ ส่วนใหญ่อธิบายแค่กระบวนการและวิธีการเปลี่ยน cellulose เป็น ethanol
note 2 กระบวนการแรกเป็นการเปลี่ยน biomass(cellulose hemicellulose lignin) ให้เป็นน้ำตาล เลือกเอาวิธีไหนก็ได้ ส่วนอันสุกท้ายเป็นการเปลี่ยนน้ำตาลเป็น ethanol

ยังไงก็จะลองหาที่เป็น thai มาให้นะ แต่ถ้าจะเอาละเอียดแบบนี้ส่วนใหญ่คงมีแต่ภาษาอังกฤษ

follow this link for more information:http://www.esru.strath.ac.uk/EandE/Web_sites/02-03/biofuels/what_bioethanol.htm

CELLULOSE BECOME ETHANOL...........?????

พืชสะสมพลังงานจากดวงอาทิตย์ในรูปพลังงานเคมีของสารประกอบไฮโดรคาร์บอน ในเนื้อเยื่อพืชที่เราเรียกรวม ๆ ว่า ไบโอแมสนั้นประกอบด้วยส่วนสำคัญคือ เซลลูโลส เฮมิเซลลูโลส และลิกนินเซลลูโลสเป็นพอลิเมอร์ของน้ำตาลซึ่งต่อกันเป็นสายยาว โดยหลักการแล้วถ้าเราตัดเซลลูโลสออกเป็นแต่ละยูนิดของน้ำตาลเราก็จะได้น้ำตาลเพื่อเอามาหมักด้วยยีสต์เพื่อผลิตแอลกอฮอล์การตัดเซลลูโลสอาจตัดด้วยกรด หรือเอนไซม์ แต่ว่าพืชมีเฮมิเซลลูโลสและลิกนินด้วยจึงต้องทำให้เป็นเซลลูโลสบริสุทธิ์เสียก่อน พืชแต่ละชนิดก็มีสัดส่วนของ เซลลูโลส เฮมิเซลลูโลส และลิกนินแตกต่างกันขั้นตอนการผลิตแอลกฮฮอล์จากไบโอแมสพอสรุปไดดังนี้ขั้นตอนพรีทรีต1. ทำให้ขนาดเล็กลง2. แยกเอาเฮมิเซลลูโลส และ ลิกนินออก3. อบด้วยไอน้ำเพื่อให้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเซลลูโลสและง่ายต่อการเข้าทำปฏิกิริยาของกรด หรือเอนไซม์4. การทำปฏิกิริยาของกรดหรือเอนไซม์เพื่อเปลี่ยนเซลลูโลสให้เป็นน้ำตาลขั้นตอนการหมักโดยยีสต์ เหมือนกับการหมักน้ำตาลทั่ว ๆ ไปขั้นตอนการกลั่น เหมือนกับการกลั่นทั่ว ๆ ไปจะเห็นได้ว่าเซลลูโลสแม้ว่าจะได้มาฟรี ๆ หรือราคาถูกกว่าแป้งและน้ำตาลมาก แต่กระบวนการเตรียมค่อนข้างยุ่งยากและเพิ่มต้นทุน มีบางบริษัทที่อ้างว่าสามารถค้นพบเอนไซม์ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม 20 เท่า แต่ก็เป็นความลับทางการค้า กระบวนการนี้ทำได้ในห้องปฏิบัติการ ผมไม่แน่ใจว่าถึงขั้นโรงงานสาธิตแล้วหรือยัง แต่ในทางอุตสาหกรรมมันยังเป็นเทคโนโลยีที่ยังไม่ได้พิสูจน์ยืนยัน คงต้องมีการพัฒนาอีกระยะหนึ่งยังมีวิธีอื่นในการเปลี่ยนเซลลูโลสให้เป็นแอลกอฮอล์ ก็คือวีธีแก้สสิฟิเคชั่น คือเปลี่ยนไบโอแมสเป็นแก้สสังเคราะห์ก่อน แล้วค่อยทำปฏิกิริยาเพื่อเปลี่ยนเป็นแอลกอฮอล์ทีหลัง

ETHANOL

การผลิตเอทานอล
กระบวนการผลิตเอทานอล ประกอบด้วย กระบวนการเตรียมวัตถุดิบสำหรับผลิตเอทานอล กระบวนการหมัก และการแยกผลิตภัณฑ์เอทานอลและการทำให้บริสุทธิ์ ซึ่งในขั้นตอบการเตรียมวัตถุดิบนั้น ถ้าเป็นประเภทแป้งหรือเซลลูโลส เช่นมันสำปะหลังและธันยพืช จะต้องนำไปผ่านกระบวนการย่อยแป้งหรือเซลลูโลสให้เป็นน้ำตาลก่อน ด้วยการใช้กรดหรือเอนไซม์ ส่วนวัตถุดิบประเภทน้ำตาลเช่นกากน้ำตาลหรือน้ำอ้อย เมื่อปรับความเข้มข้นให้เหมาะสมแล้วสามารถนำไปหมักได้
ในกระบวนการหมัก จะเปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นแอลกอฮอล์โดยใช้เชื้อจุลินทรีย์ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ยีสต์ การเลือกใช้ชนิดของเชื้อจุลินทรีย์ที่เหมาะสมกับวึตถุดิบที่นำมาหมัก จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการหมัก ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการหมักคือ เอธิลแอลกอฮอล์หรือเอทานอลที่มีความเข้มข้นประมาณร้อยละ 8-12 โดยปริมาตร
น้ำหมักที่ได้จากกระบวนการหมัก จะนำมาแยกเอทานอลออกโดยใช้กระบวนการกลั่นลำดับส่วน ซึ่งสามารถแยกเอทานอลให้ได้ความบริสุทธิ์ประมาณร้อยละ 95 โดยปริมาตร จากนั้นจึงเข้าสู่กรรมวิธีในการแยกน้ำโดยการใช้โมเลกูล่าร์ซีพ (molecular sieve separation) เอทานอลที่ความบริสุทธิ์ ร้อยละ 95 จะผ่านเข้าไปในหอดูดซับที่บรรจุตัวดูดซับประเภทซีโอไลต์ โมเลกุลของเอทานอลจะไหลผ่านช่องว่างของซีโอไลต์ออกไปได้ แต่โมเลกุลของน้ำจะถูกดูดซับไว้ ทำให้เอทานอลที่ไหลออกไปมีความบริสุทธิ์ร้อยละ 99.5 ส่วนซีโอไลต์ที่ดูดซับน้ำไว้จะถูกรีเจนเนอเรตโดยการไล่น้ำออก เอทานอลความบริสุทธิ์ร้อยละ 99.5 สามารถนำไปผสมกับน้ำมันเบนซินเพื่อใช้ในรถยนต์เครื่องยนต์เบนซินได้

LINK :: http://www.dede.go.th/dede/index.php?id=518

CELLULOSE.........????????? (ENG VER.)

Cellulose is an organic compound with the formula (C6H10O5)n. It is a structural polysaccharide derived from beta-glucose.[1][2] Cellulose is the primary structural component of green plants. The primary cell wall of green plants is made of cellulose; acetic acid bacteria are also known to synthesize cellulose, as well as many forms of algae, and the oomycetes. Cellulose was discovered and isolated in the mid-nineteenth century by the French chemist Anselme Payen[3][1] and, as of the year 2006, the estimated annual production of 1.5x109 tonnes.[4] Some animals, particularly ruminants and termites, can digest cellulose with the help of symbiotic micro-organisms (see methanogen). Cellulose is not digestible by humans and is often referred to as 'dietary fiber' or 'roughage', acting as a hydrophilic bulking agent for feces.

Breakdown (cellulolysis)
Cellulolysis is the process relating to or causing the hydrolysis of cellulose (i.e. cellulolytic bacteria, fungi or enzymes).
Mammals do not have the ability to break down cellulose directly. Typically, this ability is possessed only by certain bacteria (which have specific enzymes) like Cellulomonas etc., and which are often the flora on the gut walls of ruminants like cows and sheep, or by fungi, which in nature are responsible for cycling of nutrients. The enzymes utilized to cleave the glycosidic linkage in cellulose are glycoside hydrolases including endo-acting cellulases and exo-acting glucosidases. Such enzymes are usually secreted as part of multienzyme complexes that may include dockerins and cellulose binding modules, referred to in some cases as cellulosomes.
Many cellulolytic bacteria, fungi or enzymes break down cellulose into shorter linked chains known as cellodextrins.

BIOMOLECULES................??????? (สารชีวโมเลกุล)

please follow this link:
http://192.207.64.23/Chem_Tutor/biomolecules.pdf

read only page 1-8

พอดีมันมีสูตรโครงส้างที่ copy มาไม่ได้อ่านะ ลองไปอ่านดูแล้วกัน ความจริงอันนี้มันก็รวมๆทุกอย่าง แต่ต้องลองดูตรง carbohydrate มันจะมีเรื่องของ cellulose อยู่ มีการสลายพันธะ polysacharide ด้วยกรด ไม่รู้เราจะใช้วิธีนี้ได้ป่าว

วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2550

แนวทางการดำเนินงาน** ^ ^ **

แนวทางการดำเนินงาน
1. ศึกษาการเกิดก๊าซชีวภาพและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
2. สำรวจแหล่งขยะและวิเคราะห์ปริมาณขยะที่เกิดขึ้นในครัวเรือน
3. ออกแบบและสร้างชุดการทดลอง
4. หมักและบันทึกการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเนื่องจากการหมัก
5. รวบรวมข้อมูลที่ได้ในช่วงของการหมัก
6. วิเคราะห์ ปริมาณก๊าชชีวภาพเนื่องจากก๊าชที่เกิดขึ้นจากการหมักขยะ
7. รวบรวมข้อมูลทั้งหมดและสรุปผล

link:: http://mis.en.kku.ac.th/mis/administrator/upload/ME20061018164616.pdf
สร้างถังหมักก๊าซขนาด 60 ลิตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 34.76 ซม. สูง 52 ซม.

ทำการทดสอบการหมักเศษอาหารโดยเริ่มต้นจากน้ำเชื้อจากมูลสุกร และใส่เศษอาหารเข้าไปในถังหมักวันละ 1 กิโลกรัม

วัดปริมาณก๊าชที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน จากการศึกษาพบว่าเศษอาหารในถังหมัก 1 กิโลกรัมสามารถผลิตก๊าชชีวภาพออกมาได้เฉลี่ย 5,800 ลูกบาศก์เซนติเมตร

นำก๊าซที่ได้ไปตรวจสอบองค์ประกอบของก๊าชโดยใช้เครื่อง Gas Chromatograph พบว่าก๊าชชีวภาพมีองค์ประกอบดังนี้คือ ก๊าชมีเทน (CH4) 42.76 %, คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) 38.00%, ไนโตรเจน (N2 ) 19.20 % และก๊าชอื่นๆ อีก 0.04 % ซึ่งสามารถนำก๊าชชีวภาพที่ได้นี้ไปใช้เป็นเชื้อเพลิงต่อไปได้

BIOGAS PROJECT o-0**

อาจารย์มาโนชหัวหน้าโครงงานฯ ได้เล่าถึงวิธีทดลองวิจัยจนมากลายเป็นผลงานชิ้นนี้ว่า...เริ่มด้วยการ หมักขยะอินทรีย์ปริมาณเท่ากัน 3 ชุดการ ทดลอง คือ เศษอาหาร, เศษผลไม้ และ ใบไม้สด นำเข้าเครื่องบดย่อยและปรับค่า pH ให้เป็นกลาง ผสมกับมูลวัวสดอันเป็นแหล่งจุลินทรีย์คลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วนำลงในถังหมักแบบปิดที่จัดทำขึ้นเอง จากนั้นก็เพิ่มปริมาณขยะอินทรีย์เป็นระยะ โดยต้องใช้ไม้กวนหรือคนให้เข้ากันทุกวัน
“.....ให้ตรวจวัดค่า pH และอุณหภูมิที่เกิดขึ้นระหว่างการหมัก เมื่อหมักครบ 15 วัน วัดผลปริมาณก๊าซที่เกิดขึ้นจากหลอดระดับน้ำที่เชื่อมกับถังปิด โดยใช้หลักการแทนที่ของก๊าซ วัดระดับที่ลดต่ำลงของผิวน้ำในหลอดระดับน้ำ และทดลองก๊าซที่เกิดขึ้นว่าสามารถนำไปหุงต้มได้หรือไม่...”
จากการศึกษาทดลองการหมักอินทรีย์พบว่าต้อง ใช้เวลาถึง 15 วัน จึงจะเกิดก๊าซชีวภาพ ค่า pH อุณหภูมิของการหมักขยะอินทรีย์ทั้ง 3 ชนิด มีค่า pH เฉลี่ยอยู่ในช่วง 6.8-6.9 และอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ในช่วง 28-29 องศาเซลเซียส
ส่วนปริมาณก๊าซชีวภาพจากการหมักขยะอินทรีย์วัดจากค่าความแตกต่างของระดับน้ำ ปรากฏว่า การหมักจากเศษอาหารปริมาณก๊าซชีวภาพ มากกว่าการหมักจากเศษผลไม้ และใบไม้สด คือ ระดับน้ำของถังหมัก ที่หมักจากเศษอาหารมีระดับน้ำเฉลี่ย 53 ซม.ระดับน้ำของถังหมักที่หมักจากเศษผลไม้มีระดับน้ำเฉลี่ย 42 ซม.ระดับน้ำของถังหมักที่หมักใบไม้สดมีระดับน้ำเฉลี่ย 7 ซม.
นอกจากนี้ การหมักจาก เศษอาหาร ยังเกิดกระบวนการขึ้นอย่าง ต่อเนื่อง เพราะว่า ถังหมักจากผลไม้มีความเป็นกรดก่อนเริ่มหมักสูง ต้องปรับ pH ด้วย NaOH ค่อนข้างมาก ส่วนถังหมักจากใบไม้ไม่ค่อยย่อยสลายจึงเกิดก๊าซชีวภาพน้อยมาก
ทั้งนี้ ในการเตรียมสภาพขยะอินทรีย์ ต้องคัดแยกสิ่งไม่เหมาะสมต่อการย่อยสลายของจุลินทรีย์ออกเสียก่อน เช่น กระดูกชิ้นใหญ่, ไม้จิ้มฟัน, ไม้เสียบลูกชิ้น, กระดาษทิชชู, ฝาน้ำอัดลม, พลาสติกและ ฯลฯ แล้วทำการบดย่อยให้มีขนาดเล็กที่สุด...
ต้นทุนที่ใช้ในการทำถังผลิตก๊าซชีวภาพอยู่ที่ 20,000 ถึง 40,000 บาท...ซึ่งคุ้มค่าในยุคปัจจุบันที่น้ำมันแพง รายละเอียดเพิ่มเติมจาก อาจารย์มาโนช แสงทอง โรงเรียนวัดเจ็ดริ้ว (สาครกิจโกศล) อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร ในเวลาราชการ.

วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2550

To : BioGat Mem ~*/

::::::::::::::::::::* $ a $ k i a Talk *:::::::::::::::::::::::::::

To : EaRaHaR

แบม ฝากส่งลิงค์นี้ให้ครูด้วยจิ กิฟมะมีเมลครูชาลีอ่ะ - 0 -

รึจาค่อยปริ้นส่งวันจันทร์ แบบรวมแล้ว เอายังไงกะโพสบอกไม่ก็โทรมาได้น๊ะ

แล้วเรื่องจักรวาลๆนั่น ชั้นมะรุ้วจะหาไงอ่ะ ยังไงแกว่างแกฝากลงด้วยละกาน

จุลินทรีย์ ชั้นหาไว้ให้บ้างและ = w =

To : w h i $ k ¥ & Peter

เจน กะ คิม แกมีที่แกสรุปที่บ้านป่าวอ่ะ ที่แกเอาให้ชั้นมา ถ้ามีพิมลงคอมทีเสะ

( แต่ชั้นว่าพวกแกมะมีชัวร์ - -" ) ไม่งั้นจาได้พิมให้ T^T

ถ้าใจดีเก๊าะสรุปใหม่ก็ได้นะยะ 555+

เพราะของแกมานน้อยสุดๆเรยอ่ะ คิม = . ="

แต่มันเป็นประโยชน์กะชั้นที่จาพิม โหะๆ - - +

To : L a s s i e

เอม แกอย่าลืมส่งเพลงให้ช้านเด่ะ !! - -* มะงั้ลจาโทรไปจิกแกละนะ หึ หึ หึ

อย่าลืมว่าอาทิตย์หน้าสอบครูปุ๊โด้ย

อย่าลืมทำชีทครูชาลีที่ค้างไว้ มะงั้นโดนลบบานแระน๊ะ

อย่าลืมทำพระพุทธ ไว้ก่องจาได้มะลืม

อย่าลืมเรื่องละคร popular language ของ peter

ว่างๆไปนั่งอ่านบล็อกชาวบ้านเรื่อง culture และคิดว่าจะโพสไงไว้ด้วย
ได้ไม่ลำบากในชม.

ท่องศัพท์ เพื่อความปลอดภัยจากน้ำลายพิษ และอาการบ่นของมันด้วยนะ - -*

เตือนด้วยความหวังดีนะจ๊ะ ฮันนี่!! =w=

สุดท้าย .. :: อย่าลืมเพลงชั้นนะโว้ยยยยย = ' ' =

*::.. || ประเภทของจุลินทรีย์ || ..::*

จุลินทรีย์เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ประกอบด้วย Unicellular หรือ Multicellular ไม่มีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เพื่อทำหน้าที่เฉพาะเหมือนในสิ่งมีชีวิตชั้นสูง

Prokaryote cell Bacteria , Cyanobacteria, Eukaryote cell Fungi , Protozoa , Algae

• Bacteria เป็นโปรคารีโอต ที่ประกอบด้วยเซลล์เดียว มีผนังหุ้มคงรูป รูปร่างหลายแบบ เช่น รูปแท่ง รูปกลม สืบพันธ์ทั้งแบบมีเพศ (Conjugation) และไม่มีเพศ (Binary fission, Budding) พบได้ทั่วไปเช่น Escherichia coli, Staphylococcus spp. , Streptococcus spp.

• Fungi เป็นยูคารีโอต มีทั้งเซลล์เดี่ยว (Yeast) สืบพันธุ์โดย Budding และหลายเซลล์ (Mold) มีรูปร่างเป็น Filamentous ส่วนของเส้นใยเรียก Hyphae ถ้ามาอยู่รวมกลุ่มกันเรียกว่า Mycelium เส้นใยมีทั้งมีผนังกั้นและไม่มี ผนังเซลล์ต่างจากของแบคทีเรีย ราบางชนิดมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า (Mushroom) ราทุกชนิดต้องการอากาศ เจริญได้ดีในที่มีความเป็นกรดสูง สืบพันธุ์ทั้งแบบมีเพศ และไม่มีเพศ ตัวอย่างเช่น Yeast Saccharomyces cerevisiae Mold Aspergillus spp. , Penicillium spp., Mushroom Volvariella volvaceae

• Protozoa เป็นยูคารีโอต มีเซลล์เดียว แต่ไม่มีผนังเซลล์ มีวิวัฒนาการของเซลล์มากที่สุด สืบพันธุ์ทั้งมีเพศและไม่มีเพศ รูปร่างแตกต่างกันมาก เช่น รูปกลม รูปไข่ รูปท่อน กินแบคทีเรียเป็นอาหาร เคลื่อนที่ได้ในบางช่วงของชีวิต มี 3 แบบ คือ 1. Pseudopodium ซึ่งเกิดจากการยืดหดของไซโตพลาสซึมเรียก Ameboid movement เช่น Amoeba 2. Flagella เช่น Euglena 3. Cilia เช่น Paramecium

• Algae เป็นยูคารีโอต มีทั้งเซลล์เดียวและหลายเซลล์ รูปร่างแตกต่างกัน เช่น รูปกลม รูปแฉก รูปกระสวย มีคลอโรฟิลล์ สามารถสังเคราะห์แสงได้ ยังมี pigment อื่น ทำให้มีสีต่าง ๆ กันไป พวกที่เคลื่อนที่ได้จะใช้ Flagella หรือ pseudopodium สืบพันธ์ทั้งแบบมีเพศและไม่มีเพศ พบได้ทั่วไปทั้งแหล่งน้ำ ดิน และที่ชื้นแฉะ

• Virus ไม่จัดเป็นเซลล์ โครงสร้างประกอบด้วย DNA หรือ RNA มีโปรตีนเรียก Capsid หุ้มอยู่ บางชนิดอาจมีเยื่อหุ้ม (Envelope) ไม่สามารถอาศัยอยู่อย่างอิสระได้ จัดเป็น Obligate intracellular parasite พบได้ทั่วไป โดยอาศัยอยู่กับสิ่งมีชีวิต

L i n k :: http://csweb.bsru.ac.th/4034104/Detail3.html

------------------------- [ b¥ :: $ a $ k i a ..* ] ----------------

ประเภทของจุลินทรีย์ที่รู้จัก จำแนกได้ 3 กลุ่ม คือ

1. กลุ่มสร้างสรรค์ เป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่มีคุณภาพ มีประมาณ 10 %

2. กลุ่มทำลาย เป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่เป็นโทษ ทำให้เกิดโรค มีประมาณ 10 %

3. กลุ่มเป็นกลาง มีประมาณ 80 % จุลินทรีย์กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่ทำหน้าที่สนับสนุนหรือร่วมด้วยหากพบว่าจุลินทรีย์ 2 กลุ่มแรก กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมีมากกว่า

ดังนั้น การเพิ่มจุลินทรีย์ที่มีคุณภาพลงในดิน ก็เพื่อให้กลุ่มสร้างสรรค์มีจำนวนมากกว่า ซึ่ง จุลินทรีย์เหล่านี้จะช่วยปรับปรุงโครงสร้างของดินให้กลับมีพลังขึ้นมาอีกหลังจากที่ถูกทำลายด้วยสารเคมีจนดินตายไป ประเภทของ

จุลินทรีย์ จัดแบ่งตามลักษณะความต้องการอากาศ แบ่งได้เป็น 2 ประเภท

1. ประเภทต้องการอากาศ (Aerobic Bacteria)

2. ประเภทไม่ต้องการอากาศ (Anaerobic Bacteria)จุลินทรีย์ทั้ง 2 กลุ่มนี้ ต่างพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน และสามารถอยู่ร่วมกันได้จากการค้นคว้าดังกล่าว ได้มีการนำเอาจุลินทรีย์ที่ได้รับการคัดและเลือกสรรอย่างดีจากธรรมชาติ ที่มีประโยชน์ต่อพืช สัตว์ และสิ่งแวดล้อม มารวมกัน 5 กลุ่ม (Families) 10 จีนัส (Genues) 80 ชนิด (Spicies) ได้แก่

กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มจุลินทรีย์พวกเชื้อราที่มีเส้นใย (Filamentous fungi) ทำหน้าที่เป็นตัวเร่งการย่อยสลาย สามารถทำงานได้ดีในสภาพที่มีออกซิเจน มีคุณสมบัติต้านทานความร้อนได้ดี ปกติใช้เป็นหัวเชื้อผลิตเหล้า ผลิตปุ๋ยหมัก ฯลฯ

กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มจุลินทรีย์พวกสังเคราะห์แสง (Photosynthetic microorganisms) ทำหน้าที่สังเคราะห์สารอินทรีย์ให้แก่ดิน เช่น ไนโตรเจน (N2) กรดอะมิโน (Amino acids) น้ำตาล (Sugar) วิตามิน (Vitamins) ออร์โมน (Hormones) และอื่นๆ เพื่อสร้างความสมบูรณ์ให้แก่ดิน

กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่ใช้ในการหมัก (Zynogumic or Fermented microorganisms) ทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นให้ดินต้านทานโรค (Diseases resistant) ฯลฯ เข้าสู่วงจรการย่อยสลายได้ดี ช่วยลดการ พังทลายของดิน ป้องกันโรคและแมลงศัตรูพืชบางชนิด ของพืชและสัตว์ สามารถบำบัดมลพิษในน้ำเสียที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมเป็นพิษต่างๆ ได้

กลุ่มที่ 4 เป็นกลุ่มจุลินทรีย์พวกตรึงไนโตรเจน (Nitrogen fixing microorganisms) มีทั้งพวกที่เป็นสาหร่าย (Algae) และพวกแบคทีเรีย (Bacteria) ทำหน้าที่ตรึงก๊าซไนโตรเจนจากอากาศเพื่อให้ดินผลิต สารที่เป็นประโยชน์ต่อการเจริญเติบโต เช่น โปรตีน (Protein) กรดอินทรีย์ (Organic acids) กรดไขมัน (Fatty acids) แป้ง (Starch or Carbohydrates) ฮอร์โมน(Hormones) วิตามิน (Vitamins) ฯลฯ

กลุ่มที่ 5 เป็นกลุ่มจุลินทรีย์พวกสร้างกรดแลคติก (Lactic acids) มีประสิทธิภาพในการต่อต้านเชื้อรา และแบคทีเรียที่เป็นโทษ ส่วนใหญ่เป็นจุลินทรีย์ที่ไม่ต้องการอากาศหายใจ ทำหน้าที่เปลี่ยนสภาพดินเน่าเปื่อย หรือดินก่อโรคให้เป็นดินที่ต้านทานโรค ช่วยลดจำนวนจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุของโรคพืชที่มีจำนวนนับแสน หรือให้หมดไป นอกจากนี้ยังช่วยย่อยสลายเปลือกเมล็ดพันธุ์พืช ช่วยให้เมล็ดงอกได้ดีและแข็งแรงกว่าปกติอีกด้วย

L i n k :: http://www.tpa.or.th/writer/read_this_book_topic.php?passTo=9d32a69343836d3db900d6684c8d7ccf&bookID=258&pageid=3&read=true&count=true

--- [ b¥ :: $ a $ k i a ..* ] ------------------------------------------------

จุลินทรีย์มีบทบาทมากในอุตสาหกรรมเกษตร ทั้งในทางที่ เป็นประโยชน์และในทางที่เกิดโทษ การศึกษาจุลชีววิทยาทางอุตสาห- กรรมเกษตร จึงเป็นพื้นฐานที่จะทำให้เข้าใจบทบาทของจุลินทรีย์ใน อุตสาหกรรมเกษตร และนำไปสู่การประยุกต์อื่นๆ เช่น กระบวนการผลิต ผลิตภัณฑ์ทางอุตสาหกรรมเกษตร การควบคุมจุลินทรีย์ที่เป็นโทษไม่ ให้ส่งผลเสียต่อมนุษย์และผลิตภัณฑ์ ตลอดถึงการจัดการของเสียต่างๆ อย่างถูกหลักสุขาภิบาล เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของมวลมนุษยชาติ

อันนี้ก็ไปเปิดเอาเองน๊ะ มีอาไรเยอะแยะเรย คิดว่าน่าจะดีเพราะเปงของนักศึกษาปี 1 แน่ะ *0* -

L i n k :: http://www.agro.cmu.ac.th/e_books/602120/E-learning%20HOME%20PAGE%202.html

----------------------------------------------------------------------

โพสไว้แค่นี้น๊ะ

เรื่องจักรวาลแป๊ะๆอาไยนั่น ช้านมะรุ้วววว

ใครรุ้ววก็เอามาลงทีน้อ ~ = w =

จุลินทรีย์ คือ อาไย ?? = w =

มีหลายเว็บนะแก .. ชั้นขยัน เว้ย !! 555+

ว่างๆกะอ่านกันนะ เอามาลงให้และ อิๆ

---------------------------------------------------- [ b¥ : : $ a $ k i a .. * ] -----

จุลินทรีย์ คือ สิ่งมีชีวิตเล็กๆที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นจนกว่ามันจะเกาะกลุ่มกัน จุลินทรีย์มีอยู่ในธรรมชาติ ทั้งในน้ำ ในอากาศและในดิน มีทั้งที่เป็นอันตรายต่อการทำให้เกิดโรคกับพืช มนุษย์ สัตว์และที่เป็นประโยชน์ในการสร้างสารปฏิชีวนะทางการแพทย์

บทบาทตามธรรมชาติของจุลินทรีย์ คือ ผู้ย่อยสลาย โดยจุลินทรีย์จะเป็นตัวการทำให้ทุกอย่างที่มาจากพืชและสัตว์เน่าเปื่อย ผุพัง แหลกละเอียดจนไม่เหลือซาก กลายเป็นดินที่ยังคงมีธาตุอาหารซึ่งเคยมีอยู่ก่อนการย่อยสลาย ธาตุอาหารนี้จะละลายน้ำได้และรากพืชจะดูดกลับไปเลี้ยงต้นไม้ให้เกจริญเติบโตงอกงามอีกครั้ง

จาก :: http://pda.tarad.com/organicthailand/?trd=webboard&cat=1278&id=35690

-------- [ b¥ : : $ a $ k i a .. * ] -------------------------------------

จุลินทรีย์ คือสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กมาก มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ต้องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ ส่วนมากมีเซลล์เดียว จุลินทรีย์ที่เกี่ยวข้องกับนมได้แก่

๑. แบคทีเรีย เจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ในสภาพแวดล้อมที่ไม่สะอาด และในอุณหภูมิประมาณ ๑๕ ํ ซ. แบคทีเรียที่เติบโตได้ในนม ได้แก่ แบคทีเรียที่ผลิตกรดแลคติก กรดบิวทีริก (buteric acid) และกรดโพรพีโอนิก (propeonic acid) และแบคทีเรียที่ทำให้นมเน่าเสีย และมีกลิ่นเหม็น
๒. ยีสต์ ทำลายคุณภาพของอาหารนม แต่จำเป็นสำหรับอุตสาหกรรมขนมปัง สุรา และไวน์ ในการผลิตผลิตภัณฑ์นม ต้องควบคุมการเจริญเติบโตของยีสต์ โดยใช้ความร้อนสูงกว่า ๔๗ ํ ซ.
๓. รา จะถูกทำลายโดยการฆ่าเชื้อแบบพาสเจอร์ไรส์ มีประโยชน์ในการผลิตเนยแข็ง
๔. ไวรัส ได้แก่แบคทีริโอฟาจ (bacteriophage) ไม่ทำให้นมเสื่อมคุณภาพ แต่เป็นตัวทำลายแบคทีเรียที่ใช้ในการแปรรูปนม เช่น นมเปรี้ยว เนยแข็ง ดังนั้นจึงต้องทำลายไวรัสชนิดนี้ โดยใช้ความร้อน และการเพิ่มความเป็นกรดของผลิตภัณฑ์อย่างรวดเร็ว

จะเห็นว่าจุลินทรีย์ที่เจริญเติบโตได้ดีในน้ำนม มีทั้งชนิดที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ หรือบางชนิดอาจให้โทษต่อร่างกายมนุษย์ อุตสาหกรรมนมที่ใช้จุลินทรีย์ ในการผลิตผลิตภัณฑ์ เช่น

อุตสาหกรรมการทำเนยแข็ง (Cheese) ซึ่งต้องใช้จุลินทรีย์ในการเปลี่ยนแปลงทางเอนไซม์ รสชาติและกายสมบัติของเนยแข็งส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนรูปองค์ประกอบของน้ำนมโดยจุลินทรีย์

การทำเนย (Butter) โดยการใช้แบคทีเรียหลายชนิดรวมกัน ทำให้เนยมีรสอร่อยและมีกลิ่นหอมชวนรับ
ประทาน

การผลิตนมเปรี้ยวชนิดต่างๆ เช่น โยเกิร์ต (Yoghurt) ก็ต้องอาศัยจุลินทรีย์ชนิดที่สามารถทำให้เกิดกรดและเกิดรสที่ตัองการด้วย

จาก : : http://kanchanapisek.or.th/kp1/data/37/che_015.htm

-- [ $ a $ k i a .. *::.. อ่านกัลเข้าปัย - 0 - ]-------------------------

อันนี้กะดีนะ แต่ขี้เกียจก๊อปมา มานมีรุปโด้ย แกไปเปิดดูกันเอาน้อ ::

http://www.noknoi.com/magazine/series.php?id=1516 :: ตอนที่ 1

http://www.noknoi.com/magazine/series.php?id=1518 :: ตอนที่2

หลายๆเว็บก็บอกเหมือนๆกัน ประเภทของจุลินทรีย์จาเอามาลงทีหลังน้า ~*

วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2550

mainหลัก *~

เราคิดว่าการที่เราสามารถ นำสิ่งเหลือใช้ หรือสิ่งไร้ค่า ไปใช้ให้เกิดประโยชน์นั้นคงเป็นการดี แก๊สชีวภาพคงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ดี ในการกำจัดขยะที่เป็นสารอินทรีย์

โรงเรียนของเรา จากที่เห็นกันว่ามี เศษอาหาร เศษใบไม้มากมายให้กำจัดทิ้ง แม้ว่าจะมีวิธีมากมายในการย่อยสลายขยะเหล่านี้ เช่น การเผา(สร้างCO2) การทำปุ๋ย แม้ว่าการหมักปุ๋ยจะเป็นวิธีที่น่าสนใจและมีประโยชน์ แต่ยังมีวิธีกำจัดขยะเหล่านี้ที่น่าสนใจยิ่งกว่า นั้นก็คือ “การหมักแก๊สชีวภาพ” ซึ่งได้ผลประโยชน์มากกว่าการหมักปุ๋ยธรรมดา คือนอกจากได้ปุ๋ยหมักที่มีคุณภาพ แล้วยังได้พลังงานทางเลือก อย่างแก๊สชีวภาพมาอีกด้วย

....................................

มันสั้นง่ะ
โทษนะ คิดออกได้แค่นี้

Mainหลัก Again...?

เราคงรู้กันอยู่ว่าปัจจุบันโลกของเรานี้ กำลังประสบกับปัญหาใหญ่ จากทั้งข่าวสารต่างๆรอบตัวของเราและจากการเรียนรู้ภายในห้องเรียน โลกของเราใบนี้กำลังเข้าสู่ช่วงหายนะ ห่างไปจากความเป็นปกติที่เคยเป็นอยู่ไกลออกไปทุกที เราจะเห็นได้จากสภาพอากาศ อุณหภูมิ และภัยธรรมชาติต่างๆ ที่เราประสบกันอยู่บ่อยๆครั้ง โดยสาเหตุหลักของปัญหาเหล่านี้คือ การที่อุณหภูมิโลกร้อนขึ้น หรือที่เราเรียกกันว่าภาวะโลกร้อนนั่นเอง

ภาวะนี้เกิดมาจากการที่ ปรากฏการณ์เรือนกระจก ที่คอยห่อหุ้มกักเก็บความร้อนของโลก ซึ่งทำให้โลกไม่กลายเป็นดวงดาวน้ำแข็งนั้นมีมากเกินไป ทำให้ความร้อนถูกกักเก็บมากเกินไป อุณหภูมิโลกจึงร้อนขึ้นเรื่อย โดย ภาวะเรื่อนกระจกนั้นเกิดจากการที่มีแก๊สเรือนกระจก(CO2 CH4 CFC N2O) อยู่ในชั้นบรรยากาศนั้นเอง และกิจกรรมต่างๆของมนุษย์คือสิ่งที่สร้างแก๊สเรื่อนกระจก

แก๊สเรือนกระจกที่ส่งผลต่ออุณหภูมิโลกอย่างเด่นชัดคือCO2 ที่เกิดมาจากการเผาไหม้ของสารHydrocarbon ซึ่งล้วนแต่เป็นแหล่งพลังงานที่มนุษย์ใช้ เช่นน้ำมันเป็นเชื้อเพลิงของเครื่องยนต์ การใช้ถ่านหินในการผลิตไฟฟ้า เป็นต้น เราจะเห็นว่ากิจกรรมการใช้พลังงานของมนุษย์นั้นส่งผลต่อสภาวะแวดล้อมเป็นอย่างมาก อีกทั้งพลังงานหลักที่มนุษย์ใช้อยู่นั้นเป็นสิ่งที่ธรรมชาติใช้เวลาเนินนานในการก่อตัวขึ้น แต่มนุษย์กลับใช้พลังงานเหล่านี้อย่างฟุ่มเฟือย และพลังงานหลังเหล่านี้คงจะหมดลงในไม่ช้า

พลังงานทางเลือกจึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจและน่าศึกษาเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในอนาคตเป็นอย่างมาก Biogas เป็นพลังงานทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ ด้วยเพราะมีข้อดีในหลายๆด้าน กรรมวิธีในการทำBiogasนั้นคือการหมัก ให้จูลินทรีย์ย่อยสารอินทรีย์โดยไม่มีO2 นั่นเอง โดยBiogasสามารถใช้ในการหุงต้ม ผลิตไฟฟ้าได้และกากที่เหลือจากการหมักเองก็ถือเป็นปุ๋ยอย่างดีอีกด้วย และสิ่งที่ใช้ผลิตBiogasเองก็เป็นสิ่งที่เราไม่ต้องการแล้วหรือขยะนั่นเอง ถือเป็นการช่วยโลกในการลดแก๊สเรือนกระจก ลดCH4จากการย่อยสลายสารอินทรีย์ ลดการเกิดCO2จากการเผาขยะ ลดการใช้ปุ๋ยเคมีที่ทำลายความสมดุลของดิน และช่วยลดการผลิตไฟฟ้าอีกด้วย

โรงเรียนของเราเอง เห็นกันอยู่ว่ามี เศษอาหาร เศษใบไม้มากมายให้กำจัดทิ้ง แม้ว่าจะมีวิธีมากมายในการย่อยสลายขยะเหล่านี้ เช่น การเผา(สร้างCO2) การทำปุ๋ย (สร้าง CH4) เราจึงคิดเห็นกันว่าการนำสิ่งเหล่านี้มาทำBiogas คงเป็นทางที่ให้ผลประโยชน์ได้มากที่สุด และคิดกันไว้ว่าBiogasที่ได้คาดว่าจะนำไปใช้ในการหุงต้ม ประกอบการทำอาหารในโรงเรียน

นอกจากส่งผลประโยชน์รอบด้านแล้วกับตัวเราเอง Biogasเองก็เป็นสื่อนำเราเข้าสู่การเรียนรู้ได้ด้วยเช่นกัน เช่น เรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ เรื่องเกี่ยวกับจูลินทรีย์ เรื่องปริมาณgas ความดัน และพลังงาน ทั้งยังเป็นการสร้างจิตสำนึก ปลูกฝังความคิดในการรับผิดชอบในสิ่งที่ตนกระทำอีกด้วย

Main ..[2] by $a$kia *

โลก.. ไม่สามารถหาความแน่นอนได้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อไหร่และอย่างไร หลายปีมาแล้ว ที่มนุษย์ใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลืองโดยปราศจากการคิดคำนึงถึงเหตุที่จะเกิดในภายภาคหน้า หรือความสำคัญของธรรมชาติ อย่างที่ใครคนหนึ่งเคยกล่าวไว้ โลกในเวลานี้คือเวลาที่จะรับผลจากการกระทำในอดีต โดยไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขหรือป้องกันไม่ให้เกิดความแปรปรวนได้เลย ที่ทำได้มีเพียงการชะลอให้ภัยพิบัติเกิดขึ้นช้าลงเท่านั้น

พลังงานถูกใช้อย่างต่อเนื่องโดยไม่มีการหวนคืนสู่ธรรมชาติ ใช้แล้วก็หมดไป หลายสิ่งหลายอย่างถูกนำไปใช้และเมื่อใช้เสร็จแล้วก็ถูกมองว่าเป็นขยะไร้ค่าอย่างหนึ่งเท่านั้น แต่แท้ที่จริงแล้ว สิ่งไร้ค่าหรือขยะเหล่านั้นยังคงสามารถนำมาใช้ได้ เพียงแต่ต้องผ่านกระบวนการที่ยุ่งยากและอาศัยความพิถีพิถันในการทำ ทกให้หลายกลุ่มคนเลือกที่จะปล่อยให้สิ่งไร้ค่าที่ยังคงสามารถเปลี่ยนมาใช้ได้ให้เป็นสิ่งไม่ได้ไร้ค่านั้นเป็นสิ่งไร้ค่าเช่นเดิม เนื่องด้วยความไม่รู้หรือความมักง่ายก็ไม่อาจทราบได้

ก๊าซชีวภาพ หรือ ไบโอก๊าซ เกิดจากการย่อยสลายของอินทรียวัตถุ โดยมีจุลินทรีย์ทำหน้าที่ช่วยทำหน้าที่ในการย่อยสลายอินทรียวัตถุเหล่านี้ เมื่ออินทรีย์เหล่านี้ย่อยสลายแล้วก็จะเกิด ก๊าซมีเทน ก๊าซคาร์บอนไอออกไซด์ ก๊าซไนโตรเจน ก๊าซไฮโดรเจน รวมถึงก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟต์
โดยส่วนใหญ่แล้วก๊าซชีวภาพมักจะมีการทำในผู้ประกอบกิจการเกี่ยวกับฟาร์ม นอกจากจะได้ได้เปลี่ยนจากสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ให้เป็นพลังงานแล้ว ยังได้ปุ๋ยธรรมชาติหลังจากการหมัก และยังสามารถนำไปใช้แทนก๊าซหุงต้มด้วย

ประโยชน์ของก๊าซชีวภาพของสิ่งแวดล้อมเริ่มจากการที่เราจะได้มีทางเลือกอีกทางหนึ่งในการใช้พลังงาน โดยที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และยังได้ลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการเผาขยะอีกด้วย
ในด้านพลังงาน ไปโอก๊าซสามารถนำมาใช้เป็นพลังงานในการผลิตไฟฟ้า และยังสามารถใช้แทนเชื้อเพลิงของเครื่องยนต์

ในด้านการเกษตร เราสามารถนำกากที่ได้จากการหมักก๊าซชีวภาพ ซึ่งสามารถนำไปใช้ในได้ทันที และเนื่องด้วยถูกหมักอยู่ในสภาพที่ไร้ออกซิเจนเป็นเวลานาน กากที่เหลือจากการทำก๊าซชีวภาพนี้จึง ปราศจากเมล็ดพันธุ์พืช เชื้อโรคบางชนิด รวมถึงไข่แมลงด้วย
ภายในโรงเรียนรุ่งอรุณเองก็มีเศษอาหารเหลือทังจากตอนกลางวัน และของว่างเป็นจำนวนมาก ด้วยที่ใบไม้รอบโรงเรียนก็มีเยอะ พวกเราจึงเห็นว่าเศษอาหารเหลือเหล่านี้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ ด้วยการทำไบโอก๊าซ นอกจากจะได้พลังงาน ยังปุ๋ยที่อุดมไปดวยแร่ธาตุอาหารอีกด้วย

และภายในเทอมนี้เราได้มีโอกาสเรียนเรื่องปรากฏการณ์ทางธรรมชาติรวมทั้งความสำพันธ์เชื่อมโยงของปรากฏการณ์ต่างๆ ภูมิอากาศ และรวมไปถึงเรื่องไฮโดรคาร์บอน ที่สามารถจะนำมาใช้ในการทำโปรเจ็กต์ ให้เกิดความเชื่อมโยงและมีการต่อยอดความรู้ในอนาคตได้ ทั้งทางด้านความรู้ที่เกิดขึ้นด้วยตนเอง ความรู้ทางด้านข้อมูลที่เป็นวิชาเคมี ฟิสิกส์ และชีววิทยา รวมถึงการเติบโต และการพัฒนาศักยภาพในการทำงานให้มีความรับผิดชอบ การรู้จักค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติมด้วยตนเอง การประยุกต์ และนำทฤษฎีทั้งที่เคยได้เรียนและยังไม่เคยแต่ต้องนำมาศึกษามาใช้กับการทำงาน ได้ร่วมระดมความคิด ถกเถียงถึงปัญหาที่จะต้องเกิดขึ้น คิดอย่างรอบคอบ เรียนรู้ที่จะยอมรับและแก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาดผ่านการทำไบโอก๊าซนี้เอง
ในด้านของความรู้.. ขึ้นชื่อว่าการเรียนรู้แล้ว อะไรก็สามารถนำมาเป็นความรู้ได้ ไม่ใช่ว่าจะต้องมาจากทฤษฎีเพียงอย่างเดียว และไม่จำเป็นจะต้องคิดว่าจะสามารถนำความรู้นี้ไปใช้ประโยชน์อะไรในอนาคต แต่ทำให้ต้องคิดว่า ถ้าไม่ได้ทำแล้วในอนาคตจะรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ทำรึเปล่า บางสิ่งบางอย่างอาจเห็นผลในปัจจุบัน และบางสิ่งบางอย่างจะได้เห็นคุณค่าของมันก็ต่อเมื่อเวลาผ่านไปนานแล้ว สิ่งเหล่านี้จะเป็นประสบการณ์ที่สามารถเพิ่มความมั่นใจและลงมือทำได้จริงในภายภาคหน้า

การที่จะต้องนำบทเรียนมาใช้จริง ทำจริง จึงเป็นแรงกระตุ้นอย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้ทำต้องเป็นผู้เข้าใจ และแม่นยำจนสามารถนำความรู้นั้นๆมาประยุกต์ใช้กับการทำงานได้
ทั้งความรู้ในการทำก๊าซชีวภาพ และความรู้ที่เกี่ยวกับการทำก๊าซชีวภาพ ซึ่งก็คือ เรื่องของจุลินทรีย์ และการคำนวณในวิชาฟิสิกส์ มาใช้ประกอบด้วย

จึงเห็นเป็นเรื่อง “สำคัญ” ที่จะได้มีความเข้าใจ เกิดการตระหนักถึงคุณค่าของพลังงาน มีการพัฒนาวุฒิภาวะที่ต้องอาศัยความรับผิดชอบเป็นตัวหลักในการทำ โดยที่ไม่ต้องรอให้ใครเตือนหรือคอยบอก เพิ่มศักยภาพในการทำงาน พร้อมทั้งยังได้เรียนเนื้อหาบทเรียนไปพร้อมๆกันด้วย

“ไม่ต้องคิดว่าอะไรที่ทำแล้วจะดีที่สุด และเป็นประโยชน์มากที่สุดในภายภาคหน้า แต่ให้คิดว่า อะไรที่ไม่ได้ทำแล้วจะเสียดายที่สุดในอนาคต ก็จงทำสิ่งนั้น”

B ï o g a $   I $ ..[b¥ $]

ก๊าซชีวภาพและขบวนการเกิดก๊าซ

ก๊าซชีวภาพ (Biogas) คือ ก๊าซที่เกิดจากมูลสัตว์ หรือสารอินทรีย์ต่างๆถูกย่อยสลาย โดยเชื้อจุรินทรีย์ในสภาพไร้ออกซิเจน (Anaerobic Digestion) ก๊าซที่เกิดขึ้นเป็นก๊าซที่ผสมกันระหว่างก๊าซมีเทน (CH4) กับก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ (CO2) ก๊าซไนโตรเจน (N2) ก๊าซไฮโดรเจน (H2) และก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) แต่ส่วนใหญ่แล้วประกอบด้วยก๊าซมีเทนเป็นหลัก ซึ่งทีคุณสมบัติติดไฟได้ จึงใช้เป็นพลังงานให้ความร้อน แสงสว่าง และเดินเครื่องยนต์ได้ นอกจากนั้น กระบวนการหมักแบบไร้ออกซิเจนยังจะลดปริมาณสารอินทรีย์ในรูป COD (Chemical Oxygen Demand) และ BOD (Biogical Oxygen Demend) ที่มีอยู่ในสารหมักลงได้ 50 - 70 % ซึ่งเป็นวิธีการบำบัดน้ำเสียและลดมลภาวะด้วยเทคโนโลยีก๊าซชีวภาพ ซึ่งให้ประโยชน์ถึง 3 ประการ คือ 1. ให้พลังงานในรูปของก๊าซชีวภาพ 2. ลดปัญหามลภาวะและสภาพแวดล้อม 3. กากที่ผ่านการย่อยสลายแล้วสามารถนำไปใช้เป็นปุ๋ยอินทรีย์ในสภาพปุ๋ยน้ำ และปุ๋ยแห้ง เพื่อการปรับปรุงบำรุงดินได้ดี

ก๊าซมีเทนบริสุทธิ์มีคุณสมบัติเบากว่าอากาศประมาณครึ่งหนึ่ง (น้ำหนักโมเลกุล 16.04) ละลายน้ำได้เพียงเล็กน้อย ไม่มีรส ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ส่วนก๊าซชีวภาพซึ่งเป็นก๊าซผสมอากาศ เป็นก๊าซที่มีกลิ่นเล็กน้อย ซึ่งเกิดจากก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) ทำให้ผู้ใช้บางคนไม่ชอบเอาไปหุงต้ม แต่จริงๆแล้วกลิ่นของก๊าซนี้ไม่ได้ทำให้รสชาดของอาหารมีกลิ่นเลย พอเผาไหม้แล้วก็ระเหยไป ค่าความหนาแน่นของก๊าซชีวภาพ จะขึ้นอยู่กับความดันและอุณหภูมิ ส่วนค่าความร้อนของก๊าซชีวภาพจะขึ้นอยู่กับเปอเซ็นต์ของก๊าซมีเทนในก๊าซชีวภาพและความหนาแน่นของก๊าซชีวภาพ

ก๊าซชีวภาพเกิดขึ้นได้อย่างไร ?

ก๊าซชีวภาพเกิดขึ้นได้ โดยขบวนการย่อยสลายสารอินทรีย์ด้วยจุรินทรีย์ จนเกิดเป็นก๊าซชีวภาพ สารอินทรีย์ที่ใช้ในการสร้างก๊าซชีวภาพ ได้แก่ เศษอาหารที่ย่อยไม่ได้และถูกขับออกจากร่างกายสัตว์ ซึ่งประกอบด้วยสารที่ใช้สร้างก๊าซชีวภาพคือ
- เซลลูโลส (Cellulose)
- โปรตีน (Protein)
- ลิกนิน (Lignin)
- แป้งและน้ำตาล (Tanin)
- ไขมัน (Fit)
- กรดนิวคลีอิค (Nucleic acid)
- แอลกอฮอล (Alcohol)

ตัวการสร้างก๊าซชีวภาพ ได้แก่จุลินทรีย์บางกลุ่มจะย่อยสลายมูลสัตว์จนมีอนูเล็กลงและได้สารที่จุลินทรีย์กลุ่มที่สร้างก๊าซมีเทน (Methanogenic bacteria) นำไปสร้างก๊าซมีเทนในที่สุด โดยมีการแบ่งออกได้ 3 ขั้นตอน คือ

ขั้นตอนที่ 1 การย่อยสลายสารอินทรีย์ (Hydrolytic stage) เป็นปฏิกริยาการย่อยสลายสารอินทรีย์ (Hydrolysis)ที่มีโมเลกุลใหญ่ เช่น คาร์โบรไฮเดรต ไขมัน โปรตีน โดยกลุ่มของแบคทีเรีย ให้เป็นโมเลกุลเล็กละลายน้ำได้ เช่น กลูโคส กรดอะมิโน กลีเซอรอล เป็นต้น ในขณะเดียวกัน ผลจากปฏิกริยาย่อยสลายนี้ก็จะเป็นก๊าซไฮโดรเจน และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รวมทั้งแอลกอฮอล จากนั้นปฏิกริยานี้จึงทำให้สภาพในบ่อหมักมีความเป็นกรด (ค่า pHต่ำ)และแบคทีเรียที่เจริญเติบโตได้ดีในสภาพความเป็นกรดจะทำหน้าที่ต่อไป โปรตีน กรดอะมิโน กรดอินทรีย์ ไขมัน กลีเซอลอน + กรดไขมันระเหยง่าย แอลกอฮอล คาร์โบไฮเดรต น้ำตาล ไฮโดรเจน (แป้ง) คาร์บอนไดอ๊อกไซด์

ขั้นตอนที่ 2 การสร้างกรดอะซิติก (Acetogenic Stage) การสร้างกรดอะซิติก จากกรดอินทรีย์ชนิดต่างๆโดยแบคทีเรียที่สร้างกรดอะซิติก ในขณะเดียวกันผลจากปฏิกริยานี้ก็จะทำให้เกิดก๊าซไฮโดรเจนและก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ ที่จะปนอยู่ในก๊าซชีวภาพ กรดอินทรีย์โมเลกุลใหญ่ กรดอะซิติก+คาร์บอนไดอ๊อกไซด์ แอลกอฮอล (กรดน้ำส้มสายชู+น้ำ)

ขั้นตอนที่ 3 การสร้างก๊าซมีเทน (Methanogenic Stage) ปฏิกริยาการสร้างก๊าซมีเทนโดยแบคทีเรียชนิดที่ผลิตก๊าซมีเทน(Methane Produing หรือ Methanogenic Micro Organism) ซึ่งมีอยู่หลายชนิดและเป็นแบคทีเรียที่ต้องอยู่ในสภาวะที่ปราศจากอ๊อกซิเจน ถ้ามีอ๊อกซิเจนเพียงเล็กน้อยก็จะทำให้แบคทีเรียพวกนี้หยุดการเจริญเติบโต ก๊าซมีเทนอาจเกิดจากปฏิกริยาระหว่างกรดอินทรีย์(ส่วนใหญ่เป็นกรดอะซิติก)กับน้ำและคาร์บอนไดอ๊อกไซด์กับไฮโดรเจน

ขบวนการเกิดก๊าซชีวภาพ

1.) Hydrolysis ย่อย สารอาหารโมเลกุลเล็กละลายน้ำได้
2.) Acid Formantation ย่อย กรดอินทรีย์ (Organie Acid)
3.) Methane Fomantation ย่อย

ก๊าซชีวภาพ มีเทน คาร์บอนไดอ๊อกไซด์ เชื้อแบคทีเรียทั้ง 3 กลุ่มจะต้องมีปริมาณสัมพันธ์กัน เพราะถ้าหากสารอาหาร(มูลสัตว์)มีมากเกินไป แบคทีเรียกลุ่มที่ 1 และกลุ่มที่ 2 จะผลิตกรดออกมามาก จนกระทั้งแบคทีเรียกลุ่มที่ 3 หยุดทำงาน(ก๊าซไม่เกิด) หากสารอาหารมีน้อยเกินไป แบคทีเรียก็จะเจริญเติบโตช้า(ผลิตก๊าซได้น้อย) หากมีการกวนสารอาหารพอสมควร จะทำให้แบคทีเรียทั้ง 3 กลุ่มสัมพันธ์กันดี แต่ถ้าหากมีการกวนสารอาหารมากเกินไปก็กลับทำให้การผลิตก๊าซลดลงเพราะไม่มีเวลาย่อยสลาย

ปัจจัยสำคัญในการผลิตก๊าซชีวภาพ

เนื่องจากขบวนการผลิตก๊าซชีวภาพเป็นผลการทำงานของแบคทีเรียหลายชนิดเกี่ยวข้องกัน การที่จะทำให้แบคทีเรียผลิตก๊าซได้ดีนั้นจะต้องสร้างสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย เพราะถ้าหากสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสมจะทำให้การผลิตก๊าซได้ผลลดลง ปัจจัยที่มีผลต่อการผลิตก๊าซชีวภาพ ได้แก่

1. ต้องไม่มีก๊าซออกซิเจนในบ่อหมัก การย่อยสลายสารอินทรีย์หรือส่วนผสมมูลสัตว์เพื่อให้เกิดก๊าซมีเทนหรือก๊าซหุงต้มนั้น จำเป็นจะต้องทำให้บ่อหมักอยู่ในสภาพที่ไม่มีก๊าซออกซิเจนอยู่เลย หากมีก๊าซออกซิเจนอยู่ก็ จะทำให้แบคทีเรียที่ผลิตก๊าซมีเทนหยุดการเจริญเติบโต นั่นหมายความว่าจะไม่มีการผลิตก๊าซมีเทนและสารอินทรีย์ ดังนั้นบ่อหมักก๊าซชีวภาพถ้ามีรอยรั่วหรือปิดไม่สนิท ก็จะทำให้ก๊าซมีเทนหยุดชะงักไป

2.อุณหภูมิที่เหมาะสม อุณหภูมิในบ่อหมักมีผลต่อการผลิตก๊าซชีวภาพ เนื่องจากความเร็วของปฏิกริยาทางเคมีจะขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ ปฏิกริยาการเกิดก๊าซมีเทนจะอยู่ในช่วงอุณหภูมิระหว่าง 3 - 70๐C แบคทีเรียที่สามารถผลิตก๊าซมีเทนในช่วงอุณหภูมินี้แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือช่วงอุณหภูมิต่ำ ช่วงอุณหภูมิปานกลาง และช่วงอุณหภูมิสูง อุณหภูมิในแต่ละช่วงจะมีผลต่ออัตราการเกิดก๊าซชีวภาพ คืออุณหภูมิยิ่งสูงขึ้น การย่อยสลายสารอินทรีย์จำนวนหนึ่งเพื่อที่จะให้ได้ปริมาณก๊าซชีวภาพที่ต้องการก็จะเร็วขึ้น ซึ่งทำให้สามารถสร้างบ่อก๊าซขนาดเล็กลงได้ (แต่อุณหภูมิจะไม่มีผลต่อปริมาณก๊าซที่ควรจะผลิตได้ทั้งหมดจากสารอินทรีย์นั้น ซึ่งจะเป็นค่าคงที่ขึ้นอยู่กับชนิดของสารอินทรีย์)

ความเข้มข้นของๆแข็งในบ่อหมัก (Substrate Solids Content) เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ความเข้มข้นของของแข็งในบ่อหมักแบบมีการเติมสารอินทรีย์อย่างสม่ำเสมอควรมีค่าระหว่าง 5 - 10 % และควรมีค่าประมาณ 25 % สำหรับบ่อหมักแบบเติมสารอินทรีย์เพียงครั้งเดียว ความเข้มข้นของของแข็งในบ่อหมักมีมากไปหรือน้อยไปก็จะเกิดผลเสียคือ ถ้าความเข้มข้นของของแข็งเพิ่มมากขึ้นเกินไป ก็จะทำให้เกิดการสะสมของกรดเพิ่มขึ้น ( pH ต่ำลง ) ทำให้ขบวนการหมักหยุดชะงัก เป็นผลทำให้ไม่มีการผลิตก๊าซ แต่ถ้าความเข้มข้นของของแข็งในบ่อหมักน้อยเกินไป ก็จะทำให้อัตราการผลิตก๊าซชีวภาพต่อปริมาตรของบ่อไม่มากเท่าที่ควร ทำให้ได้ก๊าซน้อย

ระบบของการหมักก๊าซชีวภาพ แบ่งตามแบบการเติมสารหมัก(อินทรียสาร + น้ำ ) คือ
- แบบเติมครั้งคราว ( Batch Operation ) โดยการเติมอินทรียสารครั้งเดียวแล้วปล่อยให้อินทรียสารถูกย่อยสลายจนหมดแล้วจึงเอาออก และเติมสารอินทรีย์ลงใหม่ ทำให้ประสิทธิภาพการเกิดก๊าซต่ำ ประมาณก๊าซไม่คงที่
- แบบกึ่งต่อเนื่อง (Semi - Continuous Operation ) โดยการเติมอินทรียสารเป็นประจำ วันเว้นวัน หรือวันเว้น สองวัน ขึ้นอยู่กับสภาพสารอินทรีย์ที่มีและขนาดของบ่อหมัก ผลที่ได้ประสิทธิภาพสูงกว่าแบบแรก ประมาณก๊าซที่ได้ค่อนข้างคงที่
- แบบต่อเนื่อง ( Continuous Operation ) เป็นการเติมสารอินทรีย์เข้าและเอาสารอินทรีย์ที่ถูกย่อยสลายแล้วออกอยู่ตลอดเวลา ด้วยอัตราการไหลเข้าและออกคงที่ ประสิทธิภาพของระบบนี้จะสูงสุด เหมาะสมกับโรงงานอุตสาหกรรม ประมาณก๊าซที่เกิดขึ้นค่อนข้างคงที่อยู่ตลอดเวลา

ปริมาณก๊าซที่ผลิตได้จากสารอินทรีย์ชนิดต่างๆ

สารอินทรีย์ชนิดต่างๆเมื่อย่อยสลายหมดแล้วให้ก๊าซชีวภาพไม่เท่ากัน มูลสัตว์ มักจะย่อยสลายได้ง่ายและให้ปริมาณก๊าซมาก ดังตารางที่ 5 แต่ในการพิจารณาความเหมาะสมของสารเหล่านี้จะต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆประกอบด้วย เช่น ความหนาแน่น ความชื้น การอุดตัน กากที่ย่อยไม่ได้ ราคาและวิธีการเก็บ ตัวอย่างเช่น ผักตบชวามีความหนาแน่นต่ำ จึงมีปริมาณมากต่อน้ำหนักกิโลกรัมของของแข็ง ทำให้ต้องใช้บ่อหมักที่มีขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังมีน้ำเป็นส่วนประกอบส่วนใหญ่ จึงต้องมีวิธีการทำให้น้ำระเหยออกบ้าง ปัจจัยประกอบเหล่านี้ทำให้การผลิตก๊าซชีวภาพจากผักตบชวามีค่าใช้จ่ายสูง ถึงแม้ผักตบชวาจะผลิตก๊าซชีวภาพได้มากต่อกิโลกรัมของของแข็งก็ตาม

ระยะเวลาการพักตัวของการเกิดก๊าซ ( Retention Time )

ระยะเวลาการพักตัวของการเกิดก๊าซ เป็นระยะเวลาที่ให้สารอินทรีย์ถูกผสมอยู่ในบ่อหมักก๊าซ เพื่อให้แบคทีเรียได้ย่อยสลายสารอินทรีีิีย์และใช้เป็นอาหารในการเพิ่มจำนวนจุรินทรีย์ให้มากขึ้นก่อนที่จะถูกถ่ายเทออกจากบ่อหมัก ปกติจะใช้เวลา 20 - 50 วัน ระยะเวลาการพักตัวของการเกิดก๊าซ สำหรับบ่อหมักก๊าซที่มีการเติมสารอินทรีย์ตลอดเวลาหรือเป็นระยะๆ สามารถคำนวณเป็นค่าเฉลี่ยได้โดย

ปริมาตรบ่อก๊าซ

ระยะเวลาการพักตัว = ปริมาตรการเติมสารหมักต่อวัน

ถ้าระยะเวลาการพักตัวสั้นเกินไป การชะล้างของแบคทีเรียในบ่อหมักจะมีอัตราเร็วกว่าการสร้างแบคทีเรียใหม่ ปฏิกริยาการย่อยสลายก็จะหยุดชะงัก เนื่องจากปริมาณแบคทีเรียในบ่อหมักลดลงหรือหมดไป แต่ถ้าให้ระยะเวลาพักตัวนานเกินไป ก็หมายความว่าบ่อหมักจะต้องมีปริมาตรใหญ่ขึ้น ทำให้ราคาค่าก่อสร้างบ่อก๊าซชีวภาพแพงตามไปด้วย

ค่าความเป็นกรดเป็นด่าง ( pH ) และความเข้มข้นของกรดระเหย ( Valatile acid )

ค่าความเป็นกรดเป็นด่างของสารละลายวัดค่าH ถ้าค่า pH = 7 แสดงว่าสารละลายนั้นเป็น กลาง ถ้าค่า pH ต่ำกว่า 7 แสดงว่าสารละลายนั้นมีความเป็นกรด และถ้าค่า pH มากกว่า 7 ก็แสดงว่าสารละลายนั้นมีความเป็นด่างเมื่อขบวนการหมักเข้าสู่สภาพคงที่แล้ว ก็จะทำให้เกิดความสมดุลของความเป็นกรดและด่าง เนื่องจากเกิดคาร์บอนไดออกไซด์ - ไบคาร์บอเนต ( CO2 - HCO3 ) และเกิดแอมโมเนีย - แอมโมเนียม (NH3 - NH4 ) ทำให้สารละลายในบ่อหมักมีค่า pH ระหว่าง 7.0 ถึง 8.5 ซึ่งเป็นค่า pH ที่วัดได้ในสารละลายในบ่อหมักก๊าซชีวภาพที่ทำงานเป็นปกติ ถ้าค่า pH ของสารละลายในบ่อหมักลดลงต่ำกว่า 6.2 จะหยุดยั้งการทำงานของแบคทีเรียที่ผลิตก๊าซมีเทน เป็นผลทำให้การผลิตก๊าซมีเทนลดลงหรือไม่มีการผลิตเลย สำหรับขบวนการหมักปกติ ความเข้มข้นของกรดระเหยได้ ซึ่งวัดในรูปของกรดอะซิติค ( Acetic acid ) ควรจะต้องต่ำกว่า 2000 PPM. (ส่วนในล้านส่วน) ถ้ากรดระเหยมีค่าสูงกว่านี้ ก็จะไปหยุดยั้งการทำงานของแบคทีเรียที่ผลิตก๊าซมีเทน เช่นกัน

อัตราส่วนระหว่างคาร์บอนกับไนโตรเจน (C/N Ratio)

อัตราส่วนระหว่างคาร์บอนกับไนโตรเจนที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ควรอยู่ระหว่าง 30 : 1 ถึง 10 : 1เนื่องจากแบคทีเรียต้องใช้ทั้งคาร์บอนและไนโตรเจนในการเจริญเติบโตถ้าปริมาณไนโตรเจนมากจนเกินไปจะเกิดการสร้างแอมโมเนียมากขึ้น เป็นผลทำให้สภาพในบ่อหมักมีความเป็นด่างซึ่งจะไปหยุดยั้งการทำงานของแบคทีเรีย

สารเคมีและยาปฎิชีวนะ

สารเคมีและยาปฎิชีวนะที่ใช้ในการดูแลรักษาสุขภาพสัตว์ ล้างคอกและอื่นๆอาจมีผลต่อการผลิตก๊าซชีวภาพทั้งนั้น ทั้งนี้เป็นเพราะสารเคมีและยาปฎิชีวนะบางอย่างเป็นอันตรายกับแบคทีเรียที่ผลิตก๊าซชีวภาพ ทำให้เกิดก๊าซชีวภาพน้อยลงหรือไม่เกิดเลย ดังนั้นการใช้และบำรุงรักษาบ่อก๊าซชีวภาพจะต้องระวังไม่ให้สารเคมีและยาปฎิชีวนะเข้าไปในบ่อก๊าซชีวภาพได้ เช่นเมื่อใดที่มีการใช้ยาฆ่าเชื้อโรคล้างคอกสัตว์ ก็ให้นำน้ำนั้นไปทิ้งที่อื่น หรือถ้ามีการนำยาปฎิชีวนะให้สัตว์กินหรือฉีด ก็ต้องไม่ปล่อยให้มูลสัตว์นั้นไหลลงไปในบ่อเติมของบ่อก๊าซชีวภาพ ผลของสารเคมีและยาปฎิชีวนะบางอย่างแสดงไว้ใน ผลของสารเคมีชนิดต่างๆต่อการผลิตก๊าซชีวภาพ

------------------ ------------------------

ยาวบัดซรบเรยอ่ะ - -*

แต่เรากะอ่านแร้วน๊ะ - 0 -

งุงิ *-*

BioGa$.. €h ?? ..s a s k i a..

บางสิ่งบางอย่างถูกมองว่าเป็นขยะ แต่ทั้งที่จริงแล้ว "ขยะ" เหล่านั้นยังสามารถนำมาใช้ใหม่ได้ ถึงแม้บางอย่างจะต้องผ่านขั้นตอนไปบ้าง แต่บางครั้งผลที่ได้ก็ยังดีกว่าปล่อยทิ้งไปเปล่าๆโดยไม่ทำอะไรเลย

ทรัพยากรถูกนำไปใช้อย่างต่อเนื่องทั้งเพื่อการอุปโภคและบริโภค การมีทางเลือกใช้ทรัพยากรใหม่ๆโดยที่ไม่ทำลายของเดิมที่มีอยู่อย่างสิ้นเปลืองจึงเป็นหนทางหนึ่งที่ดีกว่า

และไบโอก๊าซซึ่งเป็นก๊าซชีวภาพอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นกระบวนการซึ่งคล้ายกับนำ "ขยะ" หรือ "ของที่ไม่ใช้แล้ว" นำมาสร้างประโยชน์ เป็นพลังงานในอีกรูปแบบหนึ่ง

วิธีการทำก๊าซชีวภาพนี้ก็จำเป็นต้องอาศัยความพิถีพิถัน และการเอาใจใส่เช่นกัน นอกจากจะได้มีความรู้ใหม่ในเรื่องของก๊าซชีวภาพแล้ว ยังเห็นว่าจะได้ความรู้ในเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับก๊าซชีวภาพอีกด้วย ทั้งเคมี ฟิสิกส์ และชีววิทยา ผ่านการลงมือทำ

ก๊าซชีวภาพเป็นก๊าซที่เกิดจากการย่อยสลายของจุลินทรีย์ โดยผ่านกระบวนการการเกิด 3 ขั้นตอนด้วยกัน คือ
1.การย่อยสลายอินทรีย์วัตถุ
2.การสร้างกรดอะซิติก
และ 3.การสร้างก๊าซมีเทน

ประโยชน์ของก๊าซชีวภาพสามารถนำไปใช้แทนก๊าซหุงต้ม ที่ปกติจะไม่มีกลิ่น แต่ก๊าซชีวภาพนี้จะมีกลิ่นเล็กน้อย แต่ก็ไม่เป็นผลกับการประกอบอาหารแต่อย่างใด สามารถนำไปใช้ในการผลิตไฟฟ้า รวมทั้งเป็นเชื้อเพลิงของเครื่องยนต์

ดังนั้น การศึกษาเรื่องก๊าซชีวภาพยังมีข้อดีหลายอย่าง ซึ่งสรุปโดยรวมก็คือ ทำให้เข้าใจ ได้ลงมือทำ และต่อยอดความรู้ในวิชาที่เรียนอยู่ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในสักวันหนึ่งภายภาคหน้าอย่างแน่นอน